Wednesday, January 30, 2013

คิงส์ตันออกแฟลชไดร์ฟUSB3.0ใหม่หนุนวินโดวส์8

คิงส์ตันออกแฟลชไดร์ฟUSB3.0ใหม่หนุนวินโดวส์8
คิงส์ตันเปิดตัว DataTraveler Ultimate 3.0 Generation 3 ให้อัตราการอ่าน/เขียนสูงสุดถึง 150MB/s,70MB/s และยังคงรองรับ USB 2.0 รวมทั้งสนับสนุนการทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 8 เน้นการใช้งานเพื่อเก็บเพลง และวิดีโอไฮเดฟฟินิชั่น... บริษัท คิงส์ตัน เทคโนโลยี ประเทศไทย ผู้ผลิตและพัฒนาหน่วยความจำรายใหญ่ของโลก เปิดตัวแฟลชไดรฟ์ USB 3.0 รุ่น DataTraveler Ultimate 3.0 Generation 3 ออกแบบมาใหม่ที่มาพร้อมความบางเบาเพื่อความคล่องตัวในการพกพาและความเร็วสูงเพื่อการถ่ายโอนไฟล์ภาพความละเอียดสูง คลังเพลงและภาพยนตร์ระดับ HD ได้อย่างไม่สะดุด เหมาะสำหรับทั้งผู้ใช้ทั่วไป ผู้ใช้ระดับมืออาชีพและผู้รักการปรับแต่งคอมพิวเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพระดับสูงสุดจากเทคโนโลยี USB 3.0 ด้วยความเร็วในการอ่านและเขียนสูงถึง 150MB/s และ 70MB/s ตามลำดับ ขณะที่หากใช้งานกับพอร์ต USB 2.0 ความเร็วในการอ่านและเขียน 30MB/s และ 20MB/s ตามลำดับ รองรับระบบปฏิบัติการ Windows 8,​Windows 7 (SP1), Windows Vista (SP1, SP2), Windows XP (SP3), Linux v. 2.6.x+ และ Mac OS X v. 10.5.x+DataTraveler Ultimate 3.0 G3 โดดเด่นกว่าแฟลชไดรฟ์ USB รุ่นอื่น ๆ ด้วยการผสานรูปแบบ ฟังก์ชันและความมีสไตล์ได้อย่างลงตัว สวยงามด้วยดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก DataTraveler HyperX Predator 3.0 ซึ่งเป็นแฟลชไดรฟ์ USB 3.0 ที่มีความจุสูงที่สุดในโลกในขณะนี้ โดยมีให้เลือกทั้งแบบ 32GB และ 64GB ตัวเคสทำจากวัสดุโลหะมันเงาสะกดทุกสายตา พร้อมการออกแบบแบบเก็บหัวไดรฟ์ไว้ใต้เคส จึงช่วยปกป้องไดรฟ์ได้ดียิ่งขึ้น และยังมีห่วงคล้องสายเพื่อความสะดวกในการพกพาอีกด้วยนายนาธาน ซู ผู้อำนวยการฝ่ายขายผลิตภัณฑ์แฟลชเมมโมรี่ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของคิงส์ตัน กล่าวว่า มาตรฐาน USB 3.0 กำลังก้าวเข้ามาเป็นมาตรฐานการถ่ายโอนข้อมูลในปัจจุบัน เห็นได้จากการที่มาเธอร์บอร์ดและพีซีรุ่นใหม่ ๆ ล้วนมีพอร์ต USB 3.0 มาด้วยในตัวเกือบทุกรุ่น คิงส์ตันจึงพัฒนาแฟลชไดรฟ์ USB 3.0 ให้มีความเร็วและดีไซน์เหนือชั้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ซึ่ง DataTraveler Ultimate 3.0 G3 ถือเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราได้เป็นอย่างดี.

NVK พร้อมลุยโครงการรัฐ-โทรคมฯ ปลื้มรายได้ปี55โต30%

NVK พร้อมลุยโครงการรัฐ-โทรคมฯ ปลื้มรายได้ปี55โต30%
“NVK” เผยยอดขายธุรกิจอุปกรณ์เครือข่ายไร้สายปิดปี 55 รายได้โต 30% เล็งจัดหนักปี 56 ลุยธุรกิจโทรคมนาคม เกาะกระแสระบบ 3G-Wi-Fi บูม พร้อมอ้าแขนรับโครงการติดตั้งกล้องวงจรปิดของรัฐ คาดดันธุรกิจปีนี้ทะยานขึ้น 40%...นายฤทธิไกร ขัณฑวีระมงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.วี.เค.อินเตอร์ จำกัด (NVK) กล่าวว่า ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยปี 2555 NVK มียอดขายกว่า 250 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับปี 2554 (ยอดขายอยู่ที่ 190 ล้านบาท) ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยอย่างหนัก ส่งผลให้การลงทุนภาครัฐ เอกชน และการใช้จ่ายภาคครัวเรือนชะลอตัว สำหรับในครึ่งปีแรก 2556 นี้ NVK คาดว่าจะมีโครงการภาครัฐจำนวนมาก ที่ได้รับนโยบายจากรัฐบาลเพื่อบริการอินเทอร์เน็ตไร้สายอย่างทั่วถึง พร้อมติดตั้งระบบกล้องวงจรปิดป้องกันการระบาดของยาเสพติด และลดปัญหาอาชญากรรม ประกอบกับผู้ให้บริการโทรศัทพ์มือถือยังคงเร่งติดตั้งเครือข่ายไร้สาย หรือ Wi-Fi เพื่อลดปริมาณข้อมูลที่วิ่งบนเครือข่าย 3G สู่เครือข่าย Wi-Fi (3G Off-load) ทั้งนี้ ครึ่งปีแรกคาดว่าตลาดจะมีอัตราการเติบโตราว 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนส่วนตัวมองเมืองไทยจากวันนี้เป็นต้นไป เราจะได้เห็นการลงทุนจุดให้บริการ Wi-Fi Hotspot อย่างต่อเนื่อง จากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและผู้ให้บริการมือถือทุกราย รวมไปถึงการสอดรับกับแผน SMART THAILAND ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ด้วยโครงการ Free Wi-Fi และโครงการ OTPC (One Tablet Per Child) ที่จะเป็นแรงผลักดันกระตุ้นให้ผู้ให้บริการจำเป็นต้องสร้างเครือข่ายทั้ง 3G และ Wi-Fi ให้ครอบคลุมพื้นที่ให้มากที่สุด แต่ภาครัฐควรผลักดันให้กระจายไปยังพื้นที่ห่างไกล เพื่อสร้างการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และอินเทอร์เน็ตอย่างเท่าเทียมของประชาชนในชนบท ที่จะส่งผลให้ประเทศมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และยังสามารถแข่งขันในตลาดประชาคมอาเซียน หรือ AEC ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย กก.ผจก.บริษัทเอ็น.วี.เค.ฯ กล่าวนายฤทธิไกร กล่าวต่อว่า ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นหัวหอกหลักปีนี้ บริษัทเล็งเห็นว่าจากการที่ได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่าย อุปกรณ์กล้องเครือข่ายจาก ACTi ที่ทาง ACTi ได้ให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศไทยอย่างมาก โดยเป็นประเทศแรกในการเปิดตัวกล้องวงจรปิด (IP Camera) ซีรีส์ใหม่ล่าสุดกว่า 70 รุ่น จึงเชื่อว่า IP Camera จาก ACTi จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดของบริษัทฯ โดยปีนี้ NVK ตั้งเป้ายอดขายจาก ACTi ไว้ราว 100 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่เริ่มจัดจำหน่ายมาเพียง 4 เดือน มียอดขายถึง 15 ล้านบาท หรือน่าจะมีอัตราการเติบโตกว่า 200% ในพอร์ตนี้ ขณะเดียวกันกลุ่มอุปกรณ์เครือข่ายไร้สาย ปีนี้ NVK จะให้ความสำคัญต่อตลาดคอนซูเมอร์มากขึ้น โดยมีแผนที่จะเปิดตัวไวร์เลส แลน เราเตอร์ (WLAN Router) ที่มีความสามารถในการส่งสัญญาณ Wi-Fi ที่มีความเร็วสูงและสามารถครอบคลุมพื้นที่ภายในบ้านได้มากกว่า โดยจะเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผ่านร้านไอทีต่างๆ อาทิ BananaIT และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ต่อไป โดยตั้งเป้ายอดจำหน่ายไว้ที่ 50,000 ตัวภายในปี 2556กก.ผจก.บริษัทเอ็น.วี.เค.ฯ กล่าวถึงภาพรวมตลาดไอที โซลูชั่นปีนี้ว่า ส่วนตัวคาดว่าจะมีการเติบโตต่อไป อันเนื่องมาจากนโยบายการลงทุนของภาครัฐ และความคืบหน้าในการให้ใบอนุญาต 3G และ 4G ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป ส่วนภาคเอกชนนั้นก็มีความจำเป็นต้องลดต้นทุนในการบริหารจัดการ เพื่อรองรับปัญหาค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ซึ่งการลงทุนด้านไอที น่าจะเป็นทางเลือกที่สำคัญอย่างหนึ่งของผู้ประกอบการที่จะช่วยลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นภาคธุรกิจท่องเที่ยวก็กลับมาคึกคักเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวตะวันตก แต่นักท่องเที่ยวจากเอเชียก็เลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายในการพักผ่อนที่สำคัญ ทำให้กลุ่มธุรกิจโรงแรม ต่างเร่งลงทุนทางสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยเฉพาะบริการอินเทอร์เน็ตและกล้องวงจรปิด ซึ่งน่าจะเป็นแรงหนุนให้กลุ่มผลิตภัณฑ์เหล่านี้เติบโตต่อไปอีกด้วยนายฤทธิไกร กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ NVK จัดจำหน่ายโซลูชั่น สินค้าและบริการ ผ่านตัวแทนจำหน่าย ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 400 และกระจายสาขาเพื่อใช้เป็นศูนย์บริการลูกค้าและบริหารการขายในต่างจังหวัด และหัวเมืองใหญ่ไปแล้วถึง 5 สาขาด้วยกัน ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น ภูเก็ต และหาดใหญ่ โดยปีที่ผ่านมาตลาดต่างจังหวัดเติบโตดีมาก ยอดขายมีสัดส่วนถึง 40% ของยอดขายรวมเลยทีเดียว ทั้งนี้ เป้าหมายธุรกิจในปี 2556 คาดว่าจะมียอดขายราว 350 ล้านบาทจากปีที่แล้ว 250 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 40% โดยแบ่งตามหมวดสินค้าเป็น IP CCTV 40%,Network 10%และ WLAN 50% . 

โลกาภิวัตน์ 31/01/56

โลกาภิวัตน์ 31/01/56
ดาวเทียมติดตามและส่งข้อมูลดาวเทียมติดตามและส่งข้อมูลดวงใหม่ของสหรัฐฯในภาชนะห่อหุ้ม ถูกขนมายังฐานส่งจรวดที่ 39 ที่ศูนย์อวกาศเคนเนดี้ รัฐฟลอริดา เป็นดาวเทียมรุ่นใหม่ที่ทันสมัยรุ่นหนึ่ง.นกเพนกวินติดกล้องภาพจากกล้องวีดิโอที่ติดไว้บนตัวนกเพนกวิน ในดินแดนแอนตาร์กติกา มองเห็นแพน้ำแข็งอยู่เบื้องหน้า คณะนักสำรวจญี่ปุ่น เป็นผู้ติดกล้องให้มันเพื่อศึกษาชีวิตความเป็นอยู่  ปรากฏว่าพวกมันจะกินปลาและพวกปูกับหอยขนาดเล็กเป็นอาหาร.เท้าเดินดิน-ตาดูดาวด้วงมูลสัตว์ ถูกพบว่ามันอาศัยการดูดาว และทางช้างเผือกบนฟ้า ในการกลิ้งก้อนมูลสัตว์กลับรังท่ามกลางความมืดมิดตอนกลาง คืนได้ถูกทาง.ซ้อมก่อนขึ้นสู่อวกาศมนุษย์อวกาศของสหภาพยุโรป  ร่วมฝึกซ้อมการเอาชีวิตรอด  ที่แถบใกล้เคียงศูนย์ฝึกมนุษย์อวกาศรัสเซีย  นอกกรุงมอสโก  เขาจะร่วมกับมนุษย์อวกาศอเมริกันและรัสเซีย  เตรียมตัวขึ้นไปประจำบนสถานีอวกาศระหว่างประเทศ ในวงโคจรรอบโลก.

Tuesday, January 29, 2013

RO2 แรงเกินคาด เอเชียซอฟท์รุกหนักตั้งแต่ต้นปี

RO2 แรงเกินคาด เอเชียซอฟท์รุกหนักตั้งแต่ต้นปี
เอเชียซอฟท์เดินเครื่องต้นปี เปิดตัว Ragnarok Online 2 แรงเกินคาด ยอดผู้เล่นช่วงโอเพนเบตา (OBT) มากกว่าที่คาดถึง 3 เท่า ขณะที่ยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์เกมพุ่งกว่า 9 ล้านเพจวิว ขณะที่แฟนเพจมีคนกด LIKE ไปกว่า 1.75 แสนคน... บริษัทเอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ออกตัวเดินเครื่องแรงตั้งแต่ต้นปี 2556 กับการเปิดเกม Ragnarok Online 2 เซิร์ฟเวอร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) กับการให้บริการในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษเป็นที่แรกในโลก จัดได้ว่าเป็นเกมส์ออนไลน์ที่แรงที่สุดแห่งปี2013 ด้วยผลตอบรับจากผู้เข้าเล่นมากกว่า 3 เท่า ที่ได้ตั้งเป้าไว้ ทำให้ต้องเพิ่มเซิร์ฟเวอร์เพื่อให้ผู้เล่นมันส์ได้แบบไม่มีสะดุด โดยกระแสตอบรับของผู้เล่นกับ Ragnarok Online 2 หลังจากที่เปิดโอเพนเบตา (OBT) ไปเมื่อวันที่ 3 ม.ค.2556 ยอดผู้เข้าเล่นถล่มทลายและมีผู้เข้าเยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์ www.playro2.com มากกว่า 9 ล้านวิว และยอดแฟนเพจ www.facebook.com/PlayRO2 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทะลุ 175,000 คน และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข่าวดีสำหรับเกม Ragnarok Online 2 ที่ได้เปิดให้บริการในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษที่แรกในโลกนี้ได้ผลตอบรับดีมาก จึงมีแผนเตรียมที่จะเปิดให้บริการ RO2  ในประเทศไทยและเวียดนามภายในปีนี้ และเชื่อได้ว่า Ragnarok Online 2 จะเป็นอีกหนึ่งเกมที่จะสร้างตำนานที่ยิ่งใหญ่ให้กับตลาดเกมออนไลน์อีกครั้งอย่างแน่นอน ผู้ที่สนใจติดตามการอัพเดทข่าว Ragnarok Online 2 SEA  ได้ที่แฟนเพจ : http://www.facebook.com/PlayRO2 และ ดาวน์โหลดเกม Ragnarok Online 2 SEA ได้ที่เว็บไซต์หลักอย่างเป็นทางการ www.playro2.com. 

เอซุส ปล่อยการ์ดจอ ROG ARES II ระบายความร้อนไฮบริดลงตลาด

เอซุส ปล่อยการ์ดจอ ROG ARES II ระบายความร้อนไฮบริดลงตลาด
“เอซุส” เผยโฉมการ์ดจอรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น ตระกูล ROG ARES II เพิ่มดีกรีความแรงด้วย Dual GPU HD 7970 GHz Edition 6GB GDDR5 ระบบระบายความร้อนแบบไฮบริด ระบายความร้อนด้วยน้ำและอากาศ ให้ความเสถียรสูงสุดด้วยขนาดที่ใช้เนื้อที่เพียง 2 สล็อต...“เอซุส” ผู้แนะนำกราฟฟิกการ์ดตัวแรงและเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา จากตระกูล ROG (Republic of Gamers) เพื่อเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงสำหรับคอเกม กับการ์ดจอรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น “ROG ARES II” โดดเด่นด้วย GPU คู่ HD 7970 GHz Edition และแรมขนาด 6GB แบบ GDDR5 เร่งกำลังส่งให้การแสดงผลภาพกราฟฟิกเกมบนเครื่องพีซีเปี่ยมประสิทธิภาพและให้ความนุ่มนวล มาพร้อมดีไซน์การระบายความร้อนแบบไฮบริดที่ใช้น้ำและอากาศคู่กัน อีกทั้งยังช่วยประหยัดพื้นที่ใช้งานด้วยความสูงการ์ดที่ใช้พื้นที่เพียง 2 สล็อต พ่วงเทคโนโลยีภาคจ่ายไฟแบบดิจิตอล DIGI+ VRM เอกสิทธิ์เฉพาะของเอซุส และวัสดุ Super Alloy Power ที่ช่วยสร้างความมั่นใจในด้านอายุการใช้งานที่ยาวนานและคงทน ทำให้การ์ดจอสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพยาวนาน ผู้ใช้งานยังสามารถเข้าถึงการโอเวอร์คล็อก จูนการ์ด และควบคุมแรงดันไฟฟ้าได้โดยตรงผ่านทางหน้าจอด้วย ROG Edition GPU Tweak ยูทิลิตี้ใช้งานสุดง่ายดาย ในครั้งนี้การ์ดจอ ROG ARES II เปิดตัวในฐานะรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น โดยผลิตขึ้นมาเพียง 1,000 ชิ้น ซึ่งบรรจุในแพ็กเกจพิเศษสวยงามเข้ากับธีมสีแดง-ดำของ ROG โดยการ์ดแต่ละอันมี Serial number ที่ยิงด้วยเลเซอร์บนแผ่นอะลูมิเนียมด้านหลังเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับการสะสม ด้วยการ์ดจอ ROG ARES II ที่มาพร้อม GPU คู่ HD 7970 GHz Edition ทำให้การแสดงผลกราฟฟิกมีความรวดเร็วกว่าการ์ดจออื่นๆ ในท้องตลาดปัจจุบัน นอกจากนี้แรมขนาด 6GB แบบ GDDR5 ยังช่วยให้ภาพเคลื่อนไหวในเฟรมเรตสูงมีความลื่นไหลอย่างนุ่มนวล สามารถรองรับเกมพีซีที่กำลังวางจำหน่ายในอนาคตที่เหนือไปกว่านี้ ROG ARES II ยังใช้เทคโนโลยีที่เป็นผู้นำด้าน GPU ที่มีขนาดเพียง 28 นาโนเมตร เอื้อประโยชน์ให้การประมวลผลภาพที่ละเอียดซับซ้อนภายในเกมเป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีสะดุด รวมถึงแรมที่สามารถจัดสรรปันส่วนพื้นที่ให้เพียงพอต่อการทำงานบนระดับค่าความละเอียดหรือ Resolution ที่เหนือกว่า 1080 พิกเซล เช่น ในขนาด WQHD หรือ 2560 x 1440 ไปจนถึงขนาด 2560 x 1600 ความพิเศษอยู่ที่การใช้ระบบระบายความร้อนเทคโนโลยีไฮบริดใหม่ล่าสุด ที่เป็นการผสานความเย็นจากน้ำและอากาศเข้าด้วยกัน สามารถช่วยลดความร้อนลงได้อย่างรวดเร็ว โดยระบบลูกผสมนี้พ่วงมากับพัดลมขนาด 120mm ที่เหมาะกับเคสพีซีทั่วไป โดยพัดลมจะทำหน้าที่ระบายความร้อนให้กับระบบน้ำแบบปิดที่ต่อท่อเข้ากับกราฟฟิกการ์ดในการลดความร้อนจาก GPU ทั้งสองตัว การ์ดจอรุ่นนี้ยังติดพัดลมระบายขนาด 80mm เพื่อเพิ่มความเย็นให้กับส่วนประกอบอื่น อาทิ แรม และภาคจ่ายไฟ เพื่อลดการสะสมของเศษฝุ่นด้วย ด้วยดีไซน์การทำงานภายในแบบใหม่นี้ ช่วยให้การ์ด ROG ARES II ทำงานได้อย่างเสถียรแม้ใช้งานภายใต้สภาพการเล่นเกมอันหนักหน่วงติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน นอกจากนี้ยังมีระบบลดอุณหภูมิที่ช่วยสร้างความเย็นลงได้ถึง 31 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับการ์ดจอรุ่น GTX 690 ที่ลดความร้อนได้เพียง 13% โดยระบบระบายความร้อนแบบไฮบริดนี้ ช่วยให้ผู้ใช้งานไม่ต้องซื้อฮาร์ดแวร์ซึ่งมีราคาสูงและเสี่ยงต่ออันตรายในการติดตั้งเพิ่มเติม ด้วยขนาดของกราฟฟิกการ์ด ROG ARES II ที่ใช้เนื้อที่เพียง 2 สล็อต ทำให้การ์ดนี้สามารถประกอบเข้ากับเคสพีซีทั่วไป ให้รูปทรงที่เพรียวบาง ประหยัดพื้นที่บนเมนบอร์ด และช่วยให้สามารถรองรับการ์ดอื่นๆ ได้อีกในอนาคตด้วยเทคโนโลยีภาคจ่ายไฟแบบดิจิตอล DIGI+ VRM ลิขสิทธิ์เฉพาะของเอซุสช่วยส่งแรงดันไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอให้การ์ดจอสามารถทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพสูงสุด สามารถโอเวอร์คล็อกได้แรงเต็มพิกัดอย่างไร้กังวล และยังผนวกมากับเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม Super Alloy Power แบบ 20 เฟส ซึ่งประกอบด้วยคาปาซิเตอร์แบบ Solid ที่ทนทาน โช้คสุดคงทน และ MOSFET ที่สามารถทนความร้อนสูงภายใต้การใช้งานสุดหนักหน่วง ทำให้กราฟฟิกการ์ด ROG ARES II มีความเสถียรและให้อายุการใช้งานยาวนานกว่า 2.5 เท่าเมื่อเทียบกับการ์ดรุ่นอื่นๆ เช่น HD 7970 หรือ GTX 690นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถปรับค่าพารามิเตอร์ของคอร์ ความเร็วแรม รอบหมุนของพัดลม และค่าแรงดันไฟฟ้าผ่านยูทิลิตี้ ROG Edition GPU Tweak ที่ใช้งานง่ายผ่านทางหน้าจอได้โดยตรง หรือจะสร้างโปรไฟล์หลากหลายให้เหมาะกับเกมและโปรแกรมต่างๆ ได้ตามต้องการ โดย GPU Tweak จะทำหน้าที่ควบทั้งการตรวจสอบระดับความร้อน และเช็กระดับไฟเลี้ยงฮาร์ดแวร์ให้มีความเหมาะสม. 

โลกาภิวัตน์ 29/01/56

โลกาภิวัตน์ 29/01/56
อินเดียนแผลงศรชาวพื้นเมืองอินเดียนอาเช ในปารากวัย แสดงความชำนาญในการยิงธนู ในงานฉลองครบรอบ 12 ปีของการตั้งนิคมชาวพื้นเมือง  พวกเขาต่างภูมิใจในความเก่งกล้าในการยิงธนูของตน.หนาวจัดจนน้ำแข็งจับหมวกของพนักงานดับเพลิง ที่ออกไปดับเพลิงที่โกดังสินค้าแห่งหนึ่ง ทางแถบเซาธ์ ไซด์ ของนครชิคาโก สหรัฐฯ โดนน้ำแข็งจับเต็ม เนื่องจากอากาศหนาวเย็นจัด อุณหภูมิต่ำกว่าขีดน้ำแข็งในยามนี้.หลุมบ่อดาวอังคารองค์การอวกาศสหรัฐฯเผยแพร่รูปถ่ายของยานสำรวจบนดาวอังคาร มองเห็นชั้นหิน บนพื้นของหลุมบ่อที่มีชื่อว่าหลุมบ่อ “แมคลอลิน” เป็นหินตะกอน ที่มีหลัก ฐานที่ต้องมองด้วยกล้องจุลทรรศน์ของแร่ธาตุติดอยู่ บริเวณที่เห็นกินพื้นที่กว้างประมาณ 550 เมตร.ผลงานศิลปะนักเรียนระดับมัธยมของญี่ปุ่น มุงดูงานศิลปะอันแปลกตา  ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียว.  

Sunday, January 27, 2013

ทรูไลฟ์ พลัส เอาใจลูกค้าขยายเวลาโปร ใช้ 1 บริการ ได้ฟรี

ทรูไลฟ์ พลัส เอาใจลูกค้าขยายเวลาโปร ใช้ 1 บริการ ได้ฟรี
ทรูไลฟ์ พลัส ขยายเวลาให้ลูกค้าทรู คุ้มยิ่งกว่าเดิม เพียงใช้ทรูมูฟเอช หรือทรูออนไลน์ 1 บริการ ก็ได้ฟรี กล่องทรูวิชั่นส์ และรับสิทธิ์อัพเกรดช่องรายการ ทรู โนว-เลจ แพ็กเกจดู 13 ช่องคุณภาพพิเศษเพียงเดือนละ 199 บาท... นายสุภกิจ วรรธนะดิษฐ์ ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาด บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  ทรูไลฟ์ พลัส ขอขยายเวลาสิทธิพิเศษสุดคุ้ม “ใช้ 1 บริการ ได้ฟรี” รับฟรีกล่องทรูวิชั่นส์ ให้สำหรับลูกค้าที่ยังไม่ได้รับสิทธิ์ พร้อมสามารถรับสิทธิ์อัพเกรดชมรายการคุณภาพจากทรูวิชั่นส์ ทรู โนว-เลจ แพ็กเกจ เพิ่มอีก 13 ช่องรายการ ทั้งหนังดัง กีฬาเด็ด บันเทิงทั้งไทยและต่างประเทศได้ในราคาเพียงเดือนละ 199 บาท จากปกติเดือนละ 299 บาท หรือเลือกสั่งซื้อเพื่อชมเป็นรายครั้งๆ ละ 100 บาทต่อ 10 วัน หรือ 300 บาท ต่อ 30 วัน ผอ.ฝ่ายการตลาด บ.ทรูฯ กล่าวด้วยว่า สิทธิพิเศษนี้ สำหรับลูกค้าทรูมูฟ เอช ที่สมัครแพ็กเกจ แบบรายเดือน 399 บาท/เดือนขึ้นไป หรืออัลตร้าไฮสปีดอินเทอร์เน็ตจากทรูออนไลน์ 599 บาท/เดือนขึ้นไป ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคคอนเวอร์เจนซ์ ภายใต้แนวคิด “ยิ่งใช้ทรูเพิ่ม ยิ่งคุ้ม” ผู้สนใจอัพเกรดเป็นทรู โนว-เลจ แพ็กเกจได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 มี.ค.2556.

แอลจีส่งกูเกิลโฟนล่าสุด Nexus 4 สู่ตลาดไทย 1 ก.พ.นี้

แอลจีส่งกูเกิลโฟนล่าสุด Nexus 4 สู่ตลาดไทย 1 ก.พ.นี้
แอลจี พร้อมเผยโฉม กูเกิลโฟนระดับพรีเมียม LG Nexus 4 สู่ตลาดไทย 1 ก.พ.2556 พร้อมประสิทธิภาพการใช้งานที่เหนือกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป ทั้งซีพียูควอดคอร์ ระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุด Android 4.2 กล้อง 8 ล้านพิกเซล หน่วยความจำ 16 GB เริ่มต้นเครื่องละ 17,000 บาท...บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเปิดตัวสมาร์ทโฟนระดับเทพ LG Nexus 4 กูเกิลโฟนรุ่นล่าสุด ที่เป็นผลงานสร้างสรรค์จากความร่วมมือกันครั้งแรกระหว่างแอลจีและกูเกิล โดดเด่นด้วยตัวเครื่องที่ออกแบบมาอย่างเรียบหรู ภายใต้ปรัชญาการออกแบบของแอลจีที่เน้นความประณีตแบบไร้รอยต่อผสานกับคุณภาพของวัสดุระดับพรีเมียม ให้ประสิทธิภาพการทำงานอย่างเหนือชั้นด้วยระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุด Android 4.2 Jelly Bean Plus ให้การตอบสนองที่เร็วและแรงเต็มขั้นกับซีพียู Qualcomm Snapdragon S4 Pro พร้อมหน่วยความจำในตัวเครื่องขนาด 16 GB สามารถเล่นเกมสามมิติ หรือเปิดใช้งานแบบมัลติทาส์กกิ้งหลายๆ โปรแกรม และแอพพลิเคชั่นพร้อมกันโดยไม่มีสะดุด LG Nexus 4 มากับหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว แบบ True HD IPS Plus ที่ให้สีสันสมจริงที่สุดในโลก พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการสัมผัสให้ใช้งานได้อย่างลื่นไหล ปกป้องจากการกระแทกและรอยขีดข่วนด้วย Gorilla Glass 2 คุณภาพสูง ทั้งด้านหน้าและด้านหลังตัวเครื่อง เพลิดเพลินกับการถ่ายภาพด้วยกล้องความละเอียดสูงถึง 8 ล้านพิกเซล พร้อมแชร์ภาพขึ้นโซเชียลเน็ตเวิร์กได้ทันที และเต็มที่กับการใช้งานสมาร์ทโฟน ด้วยแอพพลิเคชั่นหลากหลายจากกูเกิล อาทิ Camera 360 องศา Panorama Shot, Google Now, New Gesture Keyboard ให้คุณพิมพ์ข้อความได้อย่างง่ายดายเพียงลากนิ้วสัมผัสหน้าจอเท่านั้น และโปรแกรมจากกูเกิลที่มาพร้อมตัวเครื่องอีกมากมาย เพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ได้อย่างลงตัว บน Google Play ที่รวบรวมแอพพลิเคชั่นกว่า 675,000 แอพฯ และเกมเพื่อประสบการณ์ความบันเทิงที่ไม่สิ้นสุดLG Nexus 4 ยังมีจุดเด่นที่สเปกเครื่องระดับเทพ ได้แก่ ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชั่นล่าสุด Android 4.2 Jelly Bean Plus จากกูเกิล ที่ได้รับการพัฒนาให้มีความเสถียร และมีประสิทธิภาพการใช้งานสูงสุด พร้อมด้วยโปรแกรมและแอพพลิเคชั่นมากมาย อาทิ Camera 360 องศา Panorama Shot, Google Now, New Gesture Keyboard พร้อมกับโพรเซสเซอร์ประมวลผล Qualcomm Snapdragon S4 Pro แบบ Quad Core เพื่อประสิทธิภาพการทำงานแรงเต็มขั้น ช่วยให้ใช้งานได้ลื่นไหล ไม่มีสะดุด ตอบสนองได้รวดเร็วดั่งใจ ตอบโจทย์การใช้งานแบบมัลติทาสก์กิ้งได้อย่างลงตัวหน้าจอ True HD IPS Plus ให้ภาพคมชัด สีสันสมจริงที่สุดในโลก รวมถึงคุณสมบัติการสัมผัสที่ดีขึ้น เทคโนโลยีหน้าจอ Gorillas Glass 2 ป้องกันกระแทก และรอยขีดข่วนบนหน้าจอ ทั้งด้านหน้าและด้านหลังตัวเครื่อง แบตเตอรี่ขนาดความจุ 2,100 mAh – รองรับการใช้งานได้ยาวนาน เพิ่มประสิทธิภาพในการพกพาให้สามารถแชต แชร์ หรือใช้งานมัลติมีเดีย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องแบตหมดเร็ว กล้องขนาด 8.0 MP – ภาพสวยคมชัด พร้อมแชร์ขึ้น Social Network ที่คุณชื่นชอบได้ทันที ในด้านการเชื่อมต่อไร้สายก็รองรับระบบ 3G ทุกเครือข่ายทั้งเอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ เอช (850/900/2100 MHz) โดยช่วงแนะนำมีโปรโมชั่นพิเศษในราคาเริ่มต้นเครื่องละ 17,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) พร้อมฟิล์มกันรอย ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง วางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นต้นไป.

เอปสัน โวรั้งเบอร์1โปรเจกเตอร์ ส่งทีเด็ดรวดเดียว33รุ่นลงตลาด

เอปสัน โวรั้งเบอร์1โปรเจกเตอร์ ส่งทีเด็ดรวดเดียว33รุ่นลงตลาด
เอปสัน เผยยอดขายโปรเจกเตอร์ 3 ไตรมาสปี 55 โตกว่า 50% พร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ 7 ซีรีส์รวม 33 รุ่น หวังรุกหนักตลาดปี 56 เชื่อแนวโน้มราคาลดสวนทางคุณสมบัติดีขึ้น เรียกความสนใจจากลูกค้าได้...นายเออิจิ คาโตะ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยผลการดำเนินงานในกลุ่มสินค้าโปรเจกเตอร์ว่า ในช่วง 9 เดือน (เม.ษ.-ธ.ค.) ที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นได้ 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 400 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายรวมในปี 2555 ของเอปสันยังสามารถครองอันดับหนึ่งของตลาดต่อไป โดยมีปัจจัยสำคัญคือการเพิ่มปริมาณการใช้งานโปรเจกเตอร์ในสื่อการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษา ทั้งโรงเรียน และมหาวิทยาลัย และทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ในขณะที่ความต้องการใช้งานขององค์กรธุรกิจก็ยังเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวภายหลังน้ำท่วมใหญ่สำหรับโปรเจกเตอร์ของเอปสันในปีนี้ จะยังเน้นที่ตลาดสถาบันการศึกษาซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง รวมทั้ง ตลาดระดับกลางถึงระดับบนธุรกิจออร์แกไนเซอร์ หรือองค์กรที่เน้นใช้โปรเจกเตอร์ที่มีความสว่างสูง ประกอบกับภาพรวมตลาดในขณะนี้มีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศมากขึ้น ทำให้เกิดการลงทุนระดับไอทีอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ยังช่วยกระตุ้นให้ภาคต่างๆ ตื่นตัวกับการพัฒนาระบบไอทีในหน่วยงานอย่างจริงจัง ล่าสุด บริษัทจึงออกผลิตภัณฑ์ใหม่รวม 33 รุ่น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้ากลุ่มต่างๆ ซึ่งมีความหลากหลายและเฉพาะทางมากยิ่งขึ้นนายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในการรุกตลาดโปรเจกเตอร์ บริษัทได้จัดเซ็กเมนต์ตลาดตามลักษณะงานและความต้องการใช้งาน โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 7 ซีรีส์ นอกจากการมีผลิตภัณฑ์หลากหลาย บริษัทยังพัฒนาเทคโนโลยีอยู่ตลอดทำให้สามารถสร้างตลาดใหม่ขึ้นได้ ทั้งยังสามารถรักษาระดับความพึงพอใจของลูกค้าเดิม ที่ต้องการอัพเกรดเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน หรือเพื่อสร้างความบันเทิงในที่พักสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์โปรเจกเตอร์ทั้ง 7 ซีรีส์ และผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เปิดตัวครั้งนี้ ประกอบด้วย 1. Smart Series ที่เน้นที่ราคาประหยัด ใช้งานง่าย เปิดตัว EB-W16 และ EB-W16SK ที่สามารถรองรับการนำเสนองานในรูปแบบ 3D ทั้งระบบ Active และ Passive2. Ultra-Portable Series ที่มีรูปทรงทันสมัย ขนาดเล็ก บางเบา เหมาะกับพกพาไปพรีเซนต์งานนอกสถานที่ ที่เปิดตัวซีรีส์ EB-1700 ที่ได้ชื่อว่าเป็นโปรเจกเตอร์ 3LCD ที่บางที่สุดในโลก พร้อมกัน 4 รุ่น ได้แก่ EB-1751, EB-1761W, EB-1771W และ EB-1776W3. Short Throw Series โปรเจกเตอร์ระยะฉายสั้น สำหรับกลุ่มสถาบันการศึกษาและองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 8 รุ่น ได้แก่ EB-420, EB425W, EB-430, EB-435W, EB-475Wi, EB-485Wi, EB-1400Wi และ EB-1410Wi4. Evolution Series ที่มีจุดเด่นด้านการเชื่อมต่อที่ครบครัน ตอบสนองทุกการใช้งาน เช่น รุ่น EB-900 Series5. Professional Series โปรเจกเตอร์อเนกประสงค์ ความสว่างสูง พร้อมพอร์ตเชื่อมต่อที่หลากหลาย เปิดตัว 8 รุ่น ได้แก่ EB-1840W, EB-1850W, EB-1860, EB-1870, EB-1880 ที่สามารถเสนองานผ่าน USB ได้โดยตรง สามารถควบคุมและตรวจดูสถานภาพเครื่องผ่านระบบเครือข่ายได้ นอกจากนี้ยังมี EB-1945W, EB-1955 และ EB-1965 ซึ่งเพิ่มพอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์แอปเปิล6. High Performance Series โปรเจกเตอร์ที่ให้ความสว่างและประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับงานในพื้นที่กว้าง เช่น ห้องประชุม หรือพิพิธภัณฑ์ และงานกลางแจ้ง เปิดตัว 8 รุ่น คือ EB-Z8450WU, EB-Z8450WUNL, EB-Z8350W, EB-Z8350WNL, EB-Z8150, EB-Z8150NL, EB-Z10000 และ EB-Z10000NL ที่มีเทคโนโลยีระดับคุณภาพโฮมเธียร์เตอร์ ความสว่างถึง 10,000 lumens พร้อมคุณสมบัติ Edge-blending สามารถใช้ โปรเจกเตอร์หลายเครื่อง ในการฉายภาพหรือวิดีโอขนาดใหญ่ร่วมกัน7. Home Projector Series ที่เปิดตัว 3 โปรเจกเตอร์ 3D ได้แก่ EH-TW550, EH-TW6100 และ EH-TW8100 นอกจากนี้ เอปสันยังออกสินค้าใหม่ในกลุ่มอุปกรณ์ต่อพ่วง ประเภท Document Camera หรืออุปกรณ์จับภาพ 3 มิติ สำหรับห้องเรียนหรือห้องปฏิบัติการ ได้แก่ Epson ELPDC20 ที่สามารถแสดงรายละเอียดภาพได้ถึงขนาด A3 พร้อมออพติคัล ซูม 12 เท่า และเมื่อใช้ร่วมกับดิจิตอล ซูม จะขยายได้ถึง 120 เท่าอีกด้วยนายยรรยง กล่าวอีกว่า จากนี้ไปสินค้าสำหรับแต่ละกลุ่มธุรกิจจะมีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยสร้างสรรค์งานนำเสนอของลูกค้าได้มากขึ้น การดูแลรักษาก็สามารถทำง่ายขึ้น ขณะที่ราคาเริ่มขยับลง ทำให้ลูกค้าไม่ว่าจะเป็นกลุ่มองค์กรธุรกิจขนาดต่างๆ หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา เอเจนซี่ และออร์แกไนเซอร์ รวมถึงกลุ่มผู้ใช้ตามบ้าน สามารถเลือกซื้อโปรเจกเตอร์คุณภาพสูงของเอปสันได้. 

Saturday, January 26, 2013

วิจัยไข้หวัดนกผลงานระดับดีเยี่ยม!

วิจัยไข้หวัดนกผลงานระดับดีเยี่ยม!
                          ไม่ปฏิเสธว่าในห้วง 10 ปีที่ผ่านมาการระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดนกในสัตว์ ไม่เพียงสร้างความหายนะแก่วงการปศุสัตว์ไทยเท่านั้น แต่ยังมีการระบาดมาสู่คน จนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้ทีมคณาจาย์จากภาควิชาสัตวแพทย์สาธารณสุข คณะสัตวแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำโดยรศ.นสพ.อลงกร อมรศิลป์ เริ่มลงมือทำการวิจัยทันทีเพื่อหยุดยั้งและหาทางป้องกันการระบาดของโรคร้ายดังกล่าว ภายใต้หัวข้อ "การศึกษาเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอในสัตว์ในประเทศไทยกรณีศึกษาเชื้อไวรัสไข้หวัดนกและไข้หวัดใหญ่สุกร" จนได้รับรางวัลผลงานวิจัยระดับดีเยี่ยมจากสภาวิจัยแห่งชาติประจำปี 2555                           "ผมและทีมงานได้ลงมือทำการวิจัยเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2004 หลังไข้หวัดนกเกิดขึ้นครั้งแรก จากนั้นก็ดำเนินการวิจัยอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยตั้งเป้าไว้ 2 ประเด็นคือเพื่อช่วยแก้ปัญหาหยุดยั้งการระบาดและการเฝ้าระวังตรวจติดตามการเปลี่ยนแปลงการติดเชื้อในสัตว์ทั้งในสัตว์ปีกและสุกร ซึ่งพบว่าเชื้อที่เกิดในสัตว์กว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์มีโอกาสแพร่กระจายมาสู่คนได้"                           รศ.นสพ.อลงกรเผยต่อว่า หลังจากนั้นในปี 2008 โอกาสได้เข้าไปร่วมทำวิจัยกับกรมปศุสัตว์ พร้อมจัดทำโมเดลต้นแบบทั้งในระดับอุตสาหกรรมและฟาร์มเลี้ยงของเกษตรกร กระทั่งใช้โมเดลเดียวกันนี้เข้าไปแก้ปัญหาและป้องกันในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สุกรในปี 2009 จนประสบความสำเร็จและสามารถหยุดยั้งในการแพร่ระบาดของเชื้ออย่างได้ผล                           สำหรับการต่อยอดผลงานวิจัยชิ้นนี้นั้น เจ้าของรางวัลผลงานเด่นย้ำว่า จะใช้ผลสำเร็จของงานวิจัยชิ้นนี้เป็นรูปแบบหรือโมเดลหลักในการป้องกันและแก้ปัญหาสำหรับโรคอุบัติใหม่ทั้งในคนและในสัตว์ พร้อมกับการรับมือโรคใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย                           ขณะที่ ศ.นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวถึงผลงานการศึกษาเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอในสัตว์ในประเทศไทยกรณีศึกษาเชื้อไวรัสไข้หวัดนกและไข้หวัดใหญ่สุกรของรศ.นสพ.ดร.อลงกร อมรศิลป์และคณะจากภาควิชาสัตวแพทย์สาธารณสุข คณะสัตวแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่สำหรับวงการวิจัยไทยในการนำผลงานวิจัยมาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงทีและบังเกิดประโยชน์แก่วงการปศุสัตว์ไทยที่ไม่อาจประเมินค่าได้                           เนื่องจากการเกิดขึ้นและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอในสัตว์ ทั้งไข้หวัดนกและไข้หวัดใหญ่สุกร รวมทั้งเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 ซึ่งเกิดการระบาดทั้งในสัตว์ปีก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รวมทั้งคนด้วยนั้นได้สร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจของชาติอย่างมหาศาล                           "เชื้อไวรัสไข้หวัดสุกรสายพันธุ์ เอช 1 เอ็น 1, เอช 1 เอ็น 2 และ เอช 3 เอ็น 2 ซึ่งทั้งเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอในสัตว์และโรคไข้หวัดใหญ่สุกรต่างก็มีความสำคัญ ทั้งในด้านการผลิตสัตว์และการสาธารณสุข ผลงานวิจัยชิ้นนี้ จึงเป็นการสร้างองค์ความรู้ใหม่ การตรวจหา การเฝ้าระวังโรคและการศึกษาวิจัยเชิงลึกที่เกี่ยวกับโรคและเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในสัตว์ในประเทศไทยที่มีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่สุกรและไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพื่อนำองค์ความรู้เหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนการป้องกันและควบคุมโรค ตลอดจนเป็นแนวทางในการคัดเลือกวัคซีนป้องกันโรคต่อไป นอกจากนี้ยังเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อตรวจสอบหาโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำในสัตว์ได้อีกด้วย" เลขาธิการวช.กล่าวทิ้งท้าย                           สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับรางวัลผลงานระดับดีเยี่ยมจากสภาวิจัยแห่งชาติประจำปี 2555 โดยเจ้าของผลงานจะได้รับเงินรางวัลจำนวน 2 แสนบาทพร้อมประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติคุณ พร้อมนำมาจัดแสดงให้สาธารณชนได้รับทราบในงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2556 ณ ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี วันที่ 2-5 กุมภาพันธ์ศกนี้ด้วย     -------------------- (วิจัย 'ไข้หวัดนก-หวัดใหญ่สุกร' สู่ผลงานระดับดีเยี่ยมสภาวิจัย : โดย...สุรัตน์ อัตตะ)      

สุทธิชัยแนะปรับตัวยุค3จีทีวีดิจิตอล

สุทธิชัยแนะปรับตัวยุค3จีทีวีดิจิตอล
              เมื่อวันที่ 24 มกราคม คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ร่วมกับเครือเนชั่น จัดสัมมนา ก้าวสู่สังคมไร้สายอย่างปลอดภัย ในหัวข้อ "อนาคตสื่อไทยเตรียมรับมือโลกยุคดิจิตอล" เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและรับมือโลกข่าวสารที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป               นายสุทธิชัย หยุ่น ประธานเครือเนชั่น กล่าวปาฐกถาว่า การรับรู้ข้อมูลข่าวสารของคนกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง โดยมาจากเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้ง 3จี และบริการทีวีดิจิตอล ซึ่งทั้ง 2 เทคโนโลยีจะเปิดให้บริการในปีนี้ โดยชี้ว่าไม่มีใครที่จะสามารถยับยั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง 3จี หรือโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่กำลังแพร่ขยายออกไปทั่วโลก               "เรากำลังเผชิญกับพายุที่มาทุกทิศทาง ซึ่งผมเรียกว่า เพอร์เฟกต์ สตรอม เรากลับไม่ได้ ต้องไปข้างหน้าอย่างเดียว ในฐานะคนทำสื่อ เราต้องเดินหน้า แล้วนำเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังถาโถม นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดังนั้นในปี 2556 นี้ จะเป็นปีแห่งการพลิกโฉมการรับรู้ข่าวสารในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยผู้บริโภคจะรับรู้ข่าวสารผ่าน 4 จอ คือ ทีวี คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และโมบาย ซึ่งข่าวสารจะมีแนวโน้มส่งผ่านอุปกรณ์โมบายมากยิ่งขึ้น และตลอดเวลา"               นายสุทธิชัย กล่าวต่อว่า จากนี้เทคโนโลยีอย่างดาวเทียม เคเบิลทีวี อินเทอร์เน็ต 3จี และดิจิตอล ทีวี จะถูกหลอมรวมผ่านแพลตฟอร์มที่แตกต่าง ผู้บริโภคจะมีทางเลือกในการรับรู้ข่าวสารได้มากขึ้น ซึ่งอาจเกิดปัญหาในเรื่องความลึกของข้อมูล โดยผู้ที่จะทำหน้าที่ในการคัดกรองข้อมูลที่มีจำนวนมากก็คือคนทำสื่อ ซึ่งถือเป็นความท้าทายของคนทำสื่อยุคนี้               "บริการ 3จี เต็มรูปแบบที่จะเปิดให้บริการ ทำให้คนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารของเครือเนชั่นในทุกนาที เรามีทัพนักข่าวมากกว่า 400 คน ที่มีทวิตเตอร์ แอคเคานท์ มีคนติดตามรวมๆ กันมากกว่า 2 ล้านคน นั่นหมายความว่า ข่าวสารจะถูกส่งไปหาผู้คนเป็นล้านๆ คนในทุกๆ ที่ ทุกๆ เวลา"               นายสุทธิชัย กล่าวต่อว่า อิทธิพลของโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กจะส่งผลกระทบต่อการปรับตัวของสื่อในยุคนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่โซเชียลเน็ตเวิร์กยังสามารถสร้างจุดกระแสความไม่มีตัวตนบนโลกจริง ให้กลายเป็นคนที่มีตัวตน โซเชียลมีเดีย ยังเป็นสื่อที่มีอิทธิพล ผมให้คำจำกัดความของ ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก ยูทูบ หรือโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ ว่า เป็นจัตุรัสกลางเมือง ที่ใครก็สามารถมาหยุดพักเพื่อสนทนาในเรื่องต่างๆ ได้               ทั้งนี้ เครือเนชั่นมีความพร้อมทั้งบุคลากร เครื่องมือ เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการรุกเข้าสู่โซเชียลทีวีอย่างเต็มรูปแบบ การจัดตั้งคอนเวอร์เจนท์ นิวส์รูม ที่เป็นการหลอมรวมทุกสื่อเข้าไว้ด้วยกัน และนำข้อมูลข่าวสารไปสู่ทุกช่องทาง ทุกแพลตฟอร์ม ถึงมือผู้รับสาร ทั้งนี้ภายใต้การทำงานของคอนเวอร์เจนท์ นิวส์รูม การผสานรวมทีมข่าวของสื่อหนังสือพิมพ์และทีวีเข้าด้วยกัน ทำให้เป็นทีมข่าวที่ใหญ่ที่สุดของสื่อในปัจจุบัน               ภายหลังการปาฐกถาของนายสุทธิชัยเสร็จสิ้น  น.ส.บุษกร ธนสมบูรณ์กิจ ผอ.สำนักบริหารความปลอดภัยด้านไอที จากเอไอเอส กล่าวในงานสัมมนาก้าวสู่สังคมไร้สายอย่างปลอดภัย ในหัวข้อมหันตภัยไร้สาย ภัยร้ายที่ต้องระวัง ว่า แฮ็กเกอร์เป็นสัจธรรมในชีวิต แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ปัจจุบันเรายังไม่มีความตื่นตัวในการป้องกันในสิ่งง่ายๆ ที่อาจมองข้าม ยกตัวอย่างเช่น การใช้ไวไฟที่เปิดให้ใช้ฟรี ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากเราไม่ระวัง เห็นว่าเป็นของฟรี โดยไม่ดูว่า ไวไฟนั้นน่าเชื่อถือได้หรือไม่ เมื่อเปิดเข้าไปใช้โดยไม่ระวัง ข้อมูลของเราอาจถูกมิจฉาชีพดูดไปแล้ว               ด้านดร.วรัญญู สุจิวรพันธ์พงศ์ ผู้ช่วยกรรมการธนาคารอิสลาม กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารมีเครื่องมือป้องกันการถูกแฮ็กอย่างเป็นระบบ แต่สิ่งที่น่าห่วงที่สุดคือ ลูกค้า และประชาชนมากกว่า โดยประเด็นสำคัญที่ต้องการชี้ให้เห็นคือ การละเลยเรื่องการป้องกันสิ่งที่ใกล้ตัว เช่น การป้องกันเกี่ยวกับข้อมูลพาสเวิร์ด ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญ เราไม่ควรใช้เลขพาสเวิร์ดที่จำง่าย หรือใกล้ตัวเกินไป มิฉะนั้นอาจมีคนมาเยี่ยมเยียนด้วยการขโมยข้อมูลทางธุรกรรมเราไปได้               เช่นเดียวกับพ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน ผู้บัญชาการสำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า ภัยจากอินเทอร์เน็ตมีทุกรูปแบบ ดังนั้นเราควรหาแนวทางป้องกันให้ดีที่สุดอย่างไรมากกว่า เพราะหากเราถูกโจรกรรมด้านข้อมูล เป็นเรื่องยากในการติดตามจับกุม ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ เราไม่ควรให้ใครได้เข้าใกล้ข้อมูล หรือใช้โทรศัพท์มือถือโดยไม่จำเป็น เพราะไม่มีใครทราบว่า วันดีคืนดีเราอาจจะถูกดูดข้อมูลไปได้ทุกเมื่อ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ เราต้องเป็นที่พึ่งของตนเองโดยใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ               นายอารินทน์ แคร่า ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี กล่าวว่า มือถือเป็นช่องโหว่ที่ถูกโจมตีได้ง่ายที่สุด เพราะมือถือไม่มีระบบป้องกันเหมือนกับคอมพิวเตอร์ทั่วไป โดยสิ่งที่เราไม่ควรทำที่สุดคือ การดาวน์โหลดเว็บแปลกปลอม หรืออีเมลแปลกปลอมที่เราไม่รู้จัก เพราะหากไปดาวน์โหลด หรือเปิดเมลดังกล่าว อาจทำให้พวกมิจฉาชีพสามารถรู้ข้อมูลคุณทุกอย่าง  ดังนั้นเราควรป้องกัน โดยเริ่มจากตัวเราด้วยวิธีง่ายๆ ด้วยการไม่เปิดรับอีเมล หรือเว็บแปลกปลอมที่เราไม่รู้ว่าเป็นของใคร               ขณะที่ นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช. กล่าวว่า กสทช.มีหน้าที่วางระบบ และวางกติกา การแก้ไขมหันตภัยไร้สาย ส่วนตัวอยากจะพูดเกี่ยวกับปัญหาภัยเชิงโครงสร้างองค์กรรัฐ โดยเฉพาะการปรับตัวเกี่ยวกับเรื่องการประสานงานของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องหากมีปัญหาเกิดขึ้น เพราะต้องยอมรับว่ากฎหมายและข้อกำหนดของแต่ละองค์กรมีความแตกต่างกัน ดังนั้นทุกฝ่ายควรปรับเข้ากัน เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาให้เร็วมากขึ้น จึงอยากเน้นย้ำในเรื่องการประสานงานของแต่ละองค์กร

ชะลอมจักสานเสริมรายได้บ้านหัวทุ่ง

ชะลอมจักสานเสริมรายได้บ้านหัวทุ่ง
                          อานิสงส์จากการเป็นหมู่บ้านที่ได้รับรางวัลในโครงการประเมินศักยภาพชุมชนในการจัดการมลพิษหมอกควันและการเผาในที่โล่ง "ชุมชนมาตรฐาน หมู่บ้านปลอดการเผาปี 2555" ของจ.เชียงใหม่ จากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสำหรับชุมชน "บ้านหัวทุ่ง" ในต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ส่งผลให้วันนี้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในชุมชนที่นี่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งเรื่องสุขภาพอนามัยดี มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการประกอบอาชีพเสริมอย่างเช่นการทำชะลอมจักสานจากไผ่                           "การทำชะลอมจักสานจากไม้ไผ่ เป็นอาชีพเสริมรายได้ของชาวบ้านที่นี่ โดยใช้เวลาว่างจากการทำไร่ ทำสวน หรือช่วงกลางคืนก็มารวมกลุ่มทำจักสานกัน ก็จะเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง บางคนก็ทำทั้งวัน วันละประมาณ 20-30 ลูก ส่งขายลูกละ 7 บาท โดยมีพ่อค้ามารับซื้อถึงบ้านทุกวันจันทร์ของสัปดาห์ ลองคิดดูซิแต่ละเดือนแต่ละคนก็มีรายได้ไม่น้อยทีเดียว"                           สุขเกษม สิงห์คำ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 14 แห่งบ้านหัวทุ่ง ต.เชียงดาว มองอาชีพเสริมรายได้จากงานหัตถกรรมฝีมือชาวบ้านอย่างชะลอมจักสานจากไม้ไผ่ ซึ่งเป็นงานฝีมือที่ชาวบ้านหัวทุ่งได้ทำกันมาหลายชั่วอายุคน โดยชาวบ้านส่วนใหญ่ที่นี่มีอาชีพหลักคือการทำไร่ ทำสวน และปลูกพืชผักต่างๆ เพื่อเป็นรายได้เลี้ยงครอบครัว แต่ทว่ากลับไม่มีภาชนะใส่ผลผลิตจากไร่เพื่อนำไปจำหน่ายในท้องตลาด                           "อาชีพหลักของชาวบ้านหัวทุ่ง คือการทำไร่ข้าวโพด ทำสวนลำไย ปลูกกาแฟและพืชผักชนิดต่างๆ เพื่อเป็นรายได้หลัก โดยมีตลาดหลักอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ แต่ปัญหาที่ผ่านมาคือภาชนะใส่ผลผลิตที่เก็บจากไร่เพื่อนำไปส่งขายในตัวเมืองเชียงใหม่นั้นต้องซื้อชะลอมไม้ไผ่กลับมาด้วย ตอนนั้นอันละ 1 บาทแต่ความแข็งแรงคงทนไม่มี ต่อมาชาวบ้านก็เห็นว่าเราน่าจะทำเองได้ วัตถุดิบไม้ไผ่บ้านเราก็มีพร้อม"                           ผู้นำชุมชนคนเดิมย้อนที่มาของชะลอมจักสานจากไผ่ ก่อนจะมารวมกลุ่มกันทำเพื่อใช้กันเองในครัวเรือน และหากมีคนสนใจก็ผลิตจำหน่ายเพื่อเป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ได้รับความสนใจจากคนในชุมชนกันมากโดยเฉพาะแม่บ้านมักจะใช้เวลาว่างรวมกลุ่มทำกัน แต่หากช่วงใดที่มีออเดอร์สั่งเข้ามามากก็จะแจกจ่ายให้ไปทำเองที่บ้านเสร็จแล้วก็นำมาส่งยังที่ทำการกลุ่ม จากนั้นจะมีพ่อค้าแม่ค้ามารับไปขายต่ออีกทอดหนึ่ง                           ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ทำจักสานนั้น สุขเกษมบอกว่าเป็นต้นไผ่ที่คนในชุมชนช่วยกันปลูกบนเนื้อที่กว่า 40 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ของหน่วยพัฒนาเคลื่อนที่ 32 สำนักพัฒนาภาค 3 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา(นทพ.) ได้อนุเคราะห์พื้นที่ดังกล่าวให้ปลูกไผ่เพื่อให้ชาวบ้านในชุมชนนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ส่วนการตัดไผ่นั้นจะมีคณะกรรมการชุมชนเป็นผู้พิจารณาว่าจะตัดในช่วงใด เวลาใดถึงจะเหมาะสม โดยตัดปีละ 2-3 ครั้งเท่านั้นจากนั้นก็นำการเก็บไว้เพื่อนำมาทำจักสานต่อไป                           "ป่าไผ่เป็นของชุมชนก็จริง แต่ใช่ว่าใครจะเข้ามาตัดได้ จะต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการชุมชนเท่านั้น ปีหนึ่งเราจะตัดแค่ 2-3 ครั้ง ครั้งละหลายตันแล้วนำมากองเรียงกัน ใครอยากได้เอาไปทำชะลอมจักสานก็เอาไป โดยไม่ต้องซื้อ เมื่อเราไม่ซื้อวัตถุดิบ ชะลอมเราจึงขายถูกได้อันละ 7 บาทเท่านั้นเอง ใส่พืชผักได้หลายกิโล ส่วนหน่อไผ่เราห้ามตัดเด็ดขาดเพื่อปล่อยให้มันเติบโตต่อไป" สุขเกษมกล่าวทิ้งท้าย                           ชะลอมจักสานจากไผ่ ฝีมือของชาวบ้านหัวทุ่ง นับเป็นผลิตภัณฑ์เด่นของชุมชน ด้วยผลอานิสงส์จากการหยุดเผาป่า อันนำมาซึ่งอาชีพและรายได้ให้คนในชุมชนได้เป็นอย่างดี สนใจผลิตภัณฑ์โทร.08-7995-8104    --------------------   ขั้นตอนการทำชะลอมจักสานจากไผ่                           ทองหล่อ บุญป้อ สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เชียงดาวและกรรมการชุมชนบ้านหัวทุ่ง ซึ่งรับผิดชอบดูแลกลุ่มการทำชะลอมจักสานจากไผ่อธิบายขั้นตอนการทำ โดยนำวัสดุที่ใช้ ประกอบด้วยไม้ตอกไม้ไผ่กว้างประมาณ 0.4 เซนติเมตร  ยาว 50 เซนติเมตร จำนวน 15 เส้น ไม้ตอกขนาดเส้นเล็กกว้าง 0.2 เซนติเมตร ยาว 50 เซนติเมตร 1 เส้น สีย้อมผ้าที่ต้องการ จากนั้นนำไม้ที่จะเอามาสานไปย้อมสี  ให้เป็นสีต่างๆ ตามที่ต้องการ อาจจะเป็นสีเขียว เหลือง แดง หรือว่าสีอะไรก็แล้วแต่ที่ชอบ แล้วนำไม้ที่ย้อมสีเสร็จ มาสานโดยใช้ไม้ตอก 2 เส้น วางไขว้เป็นตัว X นำไม้ตอกอีก 2 เส้นสานขัดด้านบนและด้านล่าง นำไม้ตอกสานขัด 3 ทิศทางให้ได้ด้านละ 4 เส้น รวมเป็นไม้ตอกทั้งหมด 12 เส้น                           จะเห็นว่าไม้ตอกทุกเส้น จะขัดกันธรรมดา ยก 1 ข้าม 1 จะได้รูปหกเหลี่ยมเป็นจุดศูนย์กลาง 1 รูปและมีรูปหกเหลี่ยมล้อมรอบ จำนวน 6 รูป การขึ้นเป็นตัวชะลอม ให้เลือกจับมุมใดมุมหนึ่งแล้วนำไม้ตอกสานขวางจนรอบเป็นวงกลม ปลายไม้ตอกที่รอบให้ทับซ้อนกับจุดเริ่มต้นวนจนหมดความยาวของไม้ตอก แล้วใช้ไม้ตอกสานลักษณะเดียวกันอีก 2 เส้นโดยรอบ จะได้ชะลอมขนาดย่อม นำไม้ตอกเส้นเล็กสานขัดรอบบนสุดกันหลุด เท่านี้ก็เสร็จสมบูรณ์   -------------------- ('ชะลอมจักสาน' ฝีมือชาวบ้านหัวทุ่ง เสริมรายได้ - มุ่งใช้สอยในครัวเรือน : โดย...สุรัตน์ อัตตะ)    

เลอโนโวร่วมโชว์นวัตกรรมเด็ดจากงาน CES 2013

เลอโนโวร่วมโชว์นวัตกรรมเด็ดจากงาน CES 2013
เลอโนโว โชว์นวัตกรรมตอบสนองการใช้งานทั้งในบ้านและที่ทำงาน ในงานแสดงเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ (CES 2013) ณ ลาสเวกัส ชูไฮไลต์เด็ด อาทิเดสก์ท็อปพีซี โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนตัวล่าสุด  IdeaPhone K900...เลอโนโว โชว์นวัตกรรมตอบสนองการใช้งานทั้งในบ้านและที่ทำงาน  ยกขบวนนำทัพมาทั้งตระกูล Think และ Idea ในงานแสดงเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์อิเล็คทรอนิกส์ (CES 2013) ณ ลาสเวกัส อาทิ ไฮไลน์แจ้งเกิดอย่าง IdeaCentre Horizon Table PC คอนเซ็ปต์ต้นแบบกับ IdeaCentre GAMMA , โน้ตบุ๊กThinkPad Edge E431, ThinkPad Edge E531, เดสก์ท็อปแรงเอาใจเกมเมอร์กับ Erazer X700 หรือโน้ตบุ๊กลูกผสมแท็บเล็ตอย่าง IdeaPad Yoga 11S และ ThinkPad Helix รวมถึงการเปิดตัวครั้งแรกแห่ง สมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมกับ IdeaPhone K900เริ่มต้นด้วยเดสก์ท็อปพีซีรุ่น Erazer X700 ที่ออกแบบมาเพื่อเอาใจเกมเมอร์โดยเฉพาะต่อด้วย ThinkPad Edge E431 และ ThinkPad Edge E531สำหรับผู้ที่ต้องการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการทำงาน มาพร้อมกับเทคโนโลยี OneLink ของเลอโนโวที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะในการทำงาน และ ThinkPad Mobile Monitor หน้าจอระบบสัมผัสที่รองรับระบบปฎิบัติการ Windows 8 และรองรับการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อแสดงผล สองจอเต็มเติมการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ IdeaCentre Horizon Table PC ยังนับเป็น “โต๊ะ” คอมพิวเตอร์ประจำบ้านเครื่องแรกของโลก ที่ทุกคนสามารถใช้งานร่วมกันได้ ด้วยความสามารถการรองรับระบบ multi touch ใช้งานได้หลากหลายโหมดพร้อมกัน มากไปว่านั้น เลอโนโวยังอวดโฉม IdeaCentre GAMMA ที่มีหน้าจอใหญ่ขนาด 39 นิ้ว แม้ยังเป็นแค่คอนเซปท์ในการสร้างสรรค์ผลงานต่อยอดความคิดให้ทุกคนสัมผัสประสบการณ์ความบันเทิงสูงสุดและรองรับการใช้งานได้หลายคนพร้อมกัน ซึ่งแนวคิดนี้เลอโนโวเชื่อว่าจะเป็นตัวกำหนดทิศทางสำหรับคอมพิวเตอร์ในอนาคตอีกด้วยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโน้ตบุ๊กลูกผสมแท็บเล็ต งานนี้ เลอโนโวนำ ThinkPad Helix เพื่อตอบสนองการใช้งานธุรกิจสอดคล้องการปรับเปลี่ยนองศาได้รอบทิศ และ IdeaPad Yoga 11S ที่ถือเป็นมินิอัลตร้าบุ๊กบางเฉียบรุ่นแรกของโลกที่รองรับการทำงานหลากหลายโหมด พร้อมรองรับระบบปฏิบัติการอันทรงพลังจาก Windows 8ท้ายสุดแต่ไม่สุดท้ายสำหรับการเปิดตัวครั้งแรก กับสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมกับ เลอโนโว IdeaPhone K900 ที่ออกแบบมาให้บางทันสัมยผสมผสานความแรงของสเปกเครื่องอย่างมาน้อยหน้าใคร เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเลอโนโวมุ่งมั่นก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดสมาร์ทโฟนเฉกเช่นเดียวกับเลอโนโวได้เป็นนำนวัตกรรมคอมพิวเตอร์ในยุคแห่ง PC+ evolutionนอกจากนี้ เลอโนโว ร่วมสนับสนุนการแข่งขัน Thailand Dance Delight Vol.1 หนึ่งในการแข่งขันสตรีทแดนซ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นและระดับโลก ซึ่งมีทีมจากหลายๆชาติเข้าร่วมการแข่งขันไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส, สหรัฐ, ไต้หวัน, จีน, เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ และล่าสุดในปีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีจัดการแข่งขัน Dance Delight ในประเทศไทย นับเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้คุณแสดงฝีมือการเต้นให้กับคนทั้งโลกได้ประจักษ์ เพราะไม่เพียงแค่โอกาสเป็นผู้ชนะในประเทศไทย แต่ถ้าคุณเจ๋งจริงโอกาสก้าวเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกยังรอคุณ อยู่ด้วยในการแข่งขันครั้งนี้ เปิดรับสเต็ปการเต้นประเภทสตรีทแดนซ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น New/Old School Hip-Hop, Popping, Locking, Soul, B-boying, Krumping, Waacking/Punking ได้ตามสไตส์ เพียงสมัครลงทะเบียนและอัพโหลดวิดีโอโชว์การเต้น 90 วินาที ผ่านเว็บไซต์ www.dancedelight.sg/ddth เพื่อเข้ารับการตัดสินรอบออดิชั่น หลังจากนั้น 25 ทีมที่ได้รับคัดเลือกจะเข้าสู่รอบ ชิงชนะเลิศตัวแทนประเทศไทย  เตรียมพร้อมโชว์สเต็ปวันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2556 ณ ลานกิจกรรมโซนเอ มาบุญครองเซนเตอร์ ฝั่งหน้าโตคิว และเพื่อรับโอกาสเข้าสู่การแข่งขันระดับนานาชาติ ทีมที่มีคะแนนสูงสุด 3 ทีมจากประเทศไทยจะมีสิทธิเข้าแข่งขันในรายการ Singapore Dance Delight Vol.4 และเพื่อช่วงชิงโอกาสไปแข่งต่อในรายการ Japan Dance Delight Vol.20 ในเดือนกันยายน 2556. 

แคนนอนเปิดตัว Canon Mobile Print บน iOS

แคนนอนเปิดตัว Canon Mobile Print บน iOS
แคนนอนเปิดตัวโมบายแอพพลิเคชั่นล่าสุด Canon Mobile Print สำหรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตแอเปิลที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS ให้งานพิมพ์เป็นเรื่องง่ายและสะดวกทุกที่ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน พร้อมให้ให้ดาวน์โหลดแล้ว...แคนนอน ผู้นำธุรกิจด้านภาพและการพิมพ์อันดับหนึ่งของโลก เปิดให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนและแท็บแล็ตในระบบปฏิบัติการ iOS ได้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นใหม่ล่าสุด Canon Mobile Printing ให้คุณสั่งพิมพ์งานได้ทุกที่จาก iPhone หรือ iPad ส่งตรงไปยังเลเซอร์พรินเตอร์ของแคนนอน ทั้งแบบมัลติฟังก์ชั่นและซิงเกิลฟังก์ชั่นได้ทันที ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั้งแบบ LAN หรือแบบไร้สายที่ใช้งานด้วยแอพพลิเคชั่นใหม่ล่าสุดจากแคนนอนนี้ ผู้ใช้งานสามารถสั่งพิมพ์งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์รูปภาพ ไฟล์ PDF ไฟล์เอกสารต่างๆ ลงบนขนาดกระดาษที่ต้องการทั้ง A4 ซองจดหมาย หรือกระดาษ Legal ขนาด 8.5 x 14 นิ้ว ทั้งจากโปรแกรม Microsoft Office และไฟล์จาก Apple iWork และถ้าต้องการจะพิมพ์หน้าเว็บไซต์ก็สั่งพิมพ์ได้โดยตรงจากหน้าเว็บได้ทันที ตั้งค่าการพิมพ์ต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ นอกจากนั้นแล้ว แอพพลิเคชั่นนี้ยังสามารถค้นหาพรินเตอร์ในเน็ตเวิร์ก หรือเครือข่ายได้โดยอัตโนมัติ หรือจะเลือกพรินเตอร์ที่คุณต้องการได้จากการค้นหา IP Address ได้ทันทีผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นนี้จากช่องทาง App Store โดยค้นหาคำว่า “Canon Mobile Printing” หรือคลิกโดยตรงได้ที่ https://itunes.apple.com/th/app/canon-mobile-printing/id576292561?mt=8 หรือสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.canon.co.th 

กสทช.เตือนภัยคนยุค 3G ใน คิดก่อนคลิก Cybersecurity มหันตภัยปลายนิ้ว

กสทช.เตือนภัยคนยุค 3G ใน คิดก่อนคลิก Cybersecurity มหันตภัยปลายนิ้ว
กสทช.จัดงาน คิดก่อนคลิก Cybersecurity มหันตภัยปลายนิ้ว นิทรรศการเสมือนจริงบนโลกออนไลน์ มุ่งเตือนภัยคนรุ่นใหม่ยุค 3G ให้ตื่นตัวเน้นสร้างการรับรู้ถึงมหันตภัยบนโลกไซเบอร์จากมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในรูปแบบต่างๆ...พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธาน กสทช. กล่าวว่า ในฐานะที่ กสทช. มีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไม่ให้ถูกเอาเปรียบจากผู้ประกอบการ สร้างความเป็นส่วนตัวและส่งเสริมความเสมอภาคในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ที่ใช้ในกิจการต่างๆ จึงมีความมุ่งมั่นที่จะรณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ภาคประชาชน จึงได้จัดงานนิทรรศการความรู้ คิดก่อนคลิก Cybersecurity มหันตภัยปลายนิ้ว เพื่อให้คนรุ่นใหม่ยุค 3G โดย เฉพาะผู้ที่ใช้มือถือสมาร์ทโฟนได้ตระหนักและรู้เท่าทันมหันตภัยบนโลกออนไลน์ ที่จะแฝงมาในรูปแบบต่างๆ รวมถึงรู้จักวิธีป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งนี้ งานนี้จะเป็นนิทรรศการเสมือนจริงที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ แต่นำมาปรับและประยุกต์ให้ประชาชนเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยมีสาระประโยชน์ที่ควรรู้มากมาย ทั้งวิธีที่มิจฉาชีพมักใช้โจรกรรมข้อมูล โปรแกรมและแอพพลิเคชั่นที่ควรระวัง วิธีการป้องกันตัวตนบนโลกออนไลน์ รวมถึงตัวอย่างกรณีศึกษา เพื่อเตรียมพร้อมตั้งรับกับภัยใกล้ตัวที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว โดยงานจะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันนี้-วันที่ 27 ม.ค. ณ ลานชั้น 1 ห้างสรรพสินค้าเทอร์มินัล 21 พล.อ.อ.ธเรศ กล่าวถึงวิธีป้องกันภัยเบื้องต้นว่า อย่างน้อยควรจะต้องตั้งรหัสผ่านให้กับโทรศัพท์มือถือ เพราะสามารถป้องกันข้อมูลรั่วไหลได้สูงถึง 70-80% ไม่ควรเก็บข้อมูลที่มีความสำคัญมากๆ ในมือถือ ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น วันเกิด ที่อยู่บ้าน ที่ทำงานบนโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก และควรปิดสัญญาณ WI FI, สัญญาณ บลูทูธ และฟังก์ชั่นบอกตำแหน่งในมือถือในเวลาที่ไม่ใช้งาน ที่สำคัญควรติดตั้งโปรแกรมรักษาความปลอดภัยด้วย รวมถึงอัพเดตโปรแกรมบนมือถือให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่อย่างสม่ำเสมอสำหรับกิจกรรมต่างๆ เป็นออกเป็น 5 โซน ได้แก่ 1. โซน Phishing กรอกปุ๊ป รับปั๊บ : บอกถึงวิธีป้องกันตัวจากการเป็นเหยื่อตกปลาออนไลน์ 2. โซน Identity Theft แฝดนรก : บอกถึงวิธีป้องกันตนเองไม่ให้ผู้ไม่หวังดีสวมรอยเป็นตัวเรา 3. โซน Social Media แซทแล้วโดน…เอาไปเลย : บอกถึงสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำบนสังคมออนไลน์ 4. โซน Mobile Malware ชีวิตติดมือถือ : รู้จักมัลแวร์ โปรแกรมตัวร้ายในสมาร์ทโฟน และแนวทางที่ควรปฏิบัติ และ 5. โซน Check Point วางใจหรือใจหาย : บททดสอบความเสี่ยงของตัวคุณ รวมถึงวิธีแนะนำสำหรับนโยบายด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของทางรัฐบาล ดร.สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ให้ข้อมูลว่ารัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องความมั่นคงและความปลอดภัยในโลกไซเบอร์เป็นอย่างมาก และในอนาคตการให้บริการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ หรือที่เรียกว่า e-Government จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทย ทำให้สามารถติดต่อกับหน่วยงานรัฐได้สะดวกสบายมากขึ้น การใช้ข้อมูลของภาครัฐเหล่านี้ต้องมีความมั่นใจว่า ผู้ให้บริการระบบสามารถดำเนินการเพื่อให้เกิดความปลอดภัย และเกิดความเป็นส่วนตัวตามที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลชั้นสูงได้เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายเท่านั้น และต้องมีความมั่นคงปลอดภัยในชั้นสูงสุดส่วนของแผนแม่บทความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ รัฐบาลก็ให้ความสำคัญมากเช่นกัน ซึ่งมีรายละเอียดมากพอสมควร โดยแบ่งเป็นการเตรียมความพร้อมทั้งในด้านการเริ่มต้นที่ให้ระบบมีความเชื่อ มั่นได้ หรือมีความมั่นคงปลอดภัยขั้นสูง และถึงแม้ว่าระบบจะมีความมั่นคง ปลอดภัยแล้ว แต่หากพบผู้ที่ชอบเจาะข้อมูล ก็จะมีมาตรการในการติดตามผู้ที่เข้ามาก่อความเสียหาย โดยมีหน่วย ThaiCERT (Thai Computer Emergency Response Team) ที่จะเข้ามาประสานงาน วิเคราะห์รูปแบบของมหันตภัย รวมถึงวิธีป้องกันภัย เพื่อจะได้เข้าไปแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงทีด้านนักร้องสาว กุญแจซอล-ป่านทอง บุญทอง AF6 เผยในช่วง Cybersecurity Share ว่า ซอลก็เคยประสบกับตนเองในเคสที่มีผู้ไม่หวังดีบนโลกออนไลน์ที่แฝงตัวมาในรูปแบบต่างๆ มีทั้งแบบทำตัวสนิทสนมบอกว่าเป็นเพื่อนเก่าและเข้ามาปะปนบนอยู่ในสังคมเฟซบุ๊กของเรา และพูดโน้มน้าวเพื่อให้เราโอนเงินให้ หรือบ้างก็เจออีเมล์แปลกๆ ในลักษณะที่บอกว่าเป็นผู้โชคดีได้รางวัล และให้กดไปที่ Link นี้ เพื่อยืนยันการรับของรางวัล เป็นต้น ซึ่งซอลมองว่าคนที่มีชื่อเสียง รวมถึงคนในแวดวงบันเทิงน่าจะเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างเสี่ยง เพราะมิจฉาชีพบนโลกออนไลน์จะสามารถเข้าถึงความเป็นส่วนตัวได้ง่ายและรู้ถึงความเคลื่อนไหวของเราจากข่าวสาร ซึ่งการรณรงค์ให้ทุกคนได้ตระหนักรู้และเข้าใจถึงมหันตภัยไร้สายในรูปแบบต่างๆ รวมถึงแนะวิธีป้องกันภัยจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ. 

Wednesday, January 23, 2013

3BBรุกตลาดบรอดแบนด์เปิด FTTx ส่งเน็ตแรงเข้าบ้าน

3BBรุกตลาดบรอดแบนด์เปิด FTTx ส่งเน็ตแรงเข้าบ้าน
3BB รุกคืบบุกตลาดบริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ เปิดให้บริการผ่านโครงข่ายใยแก้วนำแสงบนเทคโนโลยีใหม่ FTTx ให้ลูกค้าได้ความเร็วเริ่มต้น 30 Mb/3 Mb ในราคาเดือนละ 1,200 บาท ใช้ได้แล้วทั่วประเทศ...นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทจัสมิน เปิดเผยว่า หลังจากที่ 3BB ได้นำเทคโนโลยีล่าสุดของระบบใยแก้วนำแสง “FTTx” เข้ามาให้บริการแก่ลูกค้า ในลักษณะ Soft Launch เมื่อปลายปี 2554 ปรากฎว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี จึงจะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ในหลายจังหวัดหลักทั่วประเทศ ได้แก่  เชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ ภูเก็ต หาดใหญ่ นครราชสีมา อุบลราชธานี ขอนแก่น พัทยา ชลบุรี ศรีราชา หัวหิน สมุทรสาคร รวมถึงกรุงเทพและปริมณฑล ด้วยความเร็วสูงสุดที่ยังไม่เคยมีผู้ให้บริการรายใดขายมาก่อน คือ ความเร็ว 1,000  Mbps นับเป็นการยกระดับและใช้ศักยภาพของบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตได้อย่างแท้จริงครั้งแรกของประเทศ  ในส่วนของส่วนแพ็กเก็จมีให้เลือกตามลักษณะการใช้งานของลูกค้า โดยมีอัตราค่าบริการแตกต่างกันไปตามความเร็วของบรอดแบนด์สำหรับบริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตด้วยเทคโนโลยี FTTx  มีความโดดเด่นที่สำคัญ คือ มีความเสถียรและรวดเร็วในการใช้งาน ซึ่งจะช่วยให้การรับส่งข้อมูลมีความเร็วและคุณภาพสูงขึ้น สามารถให้บริการมัลติมีเดียในรูปแบบ Triple Play  ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็น Video Conference , E-Learning, Video on Demand  หรือ Pay Per View  ฯลฯ รวมทั้งคอนเทนท์แบบ ไฮเดฟฟินิชั่น ที่ต้องการแบนด์วิธสูงๆ อีกหลากหลายรูปแบบตรงกับความต้องการของผู้ใช้บริการอย่างไม่มีข้อจำกัดในอนาคตอีกด้วย. 

เมียนมาร์ แอร์ฯ รับเครื่องEmbraer E190sใหม่ 2 ลำ

เมียนมาร์ แอร์ฯ รับเครื่องEmbraer E190sใหม่ 2 ลำ
สายการบิน เมียนมาร์ แอร์เวย์ส เปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ที่บินด้วยเครื่อง Embraer E190s สองลำที่เช่าจาก จีอี แคปปิตอล อะวิเอชั่น เซอร์วิสเซส ทำให้สามารถขยายตลาดสู่ภูมิภาคอาเซียนได้มากขึ้น ขณะที่ จีอีฯ มุ่งกลยุทธ์บุกตลาดเกิดใหม่....นายแอนโทนี่ ชเนลแมน รองประธานและผู้จัดการทั่วไปของ จีอี แคปปิตอล อะวิเอชั่น เซอร์วิสเซส เอเชีย (GECAS Asia) กล่าวว่า จีอี แคปปิตอล อะวิเอชั่น เซอร์วิสเซส มีความยินดีในการเป็นพันธมิตรกับสายการบินแห่งชาติของพม่า ในการขยายฝูงบินด้วยเครื่องบินอีกสองลำที่ทันสมัยและประหยัดเชื้อเพลิงซึ่งขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ของจีอี  นับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ของจีอีในการขยายธุรกิจในตลาดเกิดใหม่และทำให้เกิดความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ โดยตรง ทั้งนี้การเริ่มต้นใช้เครื่องบิน เอ็มแบรเออร์ E190s (Embraer E190) เข้าร่วมประจำฝูงบินของเมียนมาร์ แอร์เวย์ส เป็นครั้งแรกนี้จะช่วยเพิ่มความทันสมัยของฝูงบินและการขยายบริการของสายการบิน รองปธ.และผจก.ทั่วไปของ จีอี แคปปิตอล อะวิเอชั่นฯ กล่าาวต่อว่า จีอี มุ่งมั่นที่จะช่วยให้ประเทศพม่า แก้ปัญหาความท้าทายที่หนักหน่วงด้วยนวัตกรรมต่างๆ  นับตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา จีอีได้มีการดำเนินงานด้านสุขภาพและภาคพลังงานในประเทศพม่า นอกเหนือจากการส่งมอบเครื่องบิน Embraer E190 สองลำนี้แล้ว จีอียังสนับสนุนการขยายตัวของภาคการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานด้านการบินของประเทศพม่าอีกด้วย เครื่องบินลำใหม่นี้จะช่วยเพิ่มการให้บริการซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศพม่าต่อไป การขยายฝูงบินจะช่วยให้ประชาชนชาวพม่าได้รับประโยชน์จากการให้บริการขนส่งทางอากาศที่ทันสมัยมากขึ้นของพม่า ด้าน นายธาน ทัน  กรรมการผู้จัดการของสายการบิน เมียนมาร์ แอร์เวย์ส กล่าวว่า การร่วมมือกับบริษัทข้ามชาติชั้นนำ เช่น จีอี จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาวของประเทศพม่า ช่วยให้ประเทศพม่าเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ สร้างขีดความสามารถและตอบรับกับมาตรฐานสากล” ธาน ทัน กล่าวเพิ่มเติมว่า “ขอบคุณบริษัทฯ ต่างๆ เช่น จีอี และการให้บริการสนับสนุนด้านการเงินในการจัดหาเครื่องบิน ทำให้เราสามารถขยายเส้นทางบินของเราไปยังตลาดในภูมิภาคต่างๆ และสามารถแข่งขันกับสายการบินอื่นๆ ในภูมิภาคได้มากยิ่งขึ้น สำหรับ เครื่องบิน Embraer E190 ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ CF34-10E ที่ผลิตโดย จีอี อะวิเอชั่น ตั้งแต่ปี 2548 ที่เครื่องบิน Embraer E190/195 E-Jets เริ่มให้บริการ ปัจจุบันลูกค้าสายการบินมากกว่า 60 แห่งได้ใช้เครื่องบินรุ่นนี้รวมประมาณ 500 เครื่อง เครื่องบินรุ่นนี้มีพิสัยบินสูงสุดถึง 2,400 ไมล์ทะเล (4,448 กิโลเมตร) และใช้เทคโนโลยีการควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ล้ำสมัย ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการทำการบินเพราะสามารถแบ่งเบาภาระของนักบิน และยังช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอีกด้วย ทั้งนี้ เมียนมาร์ แอร์เวส์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2491 เป็นสายการบินของรัฐเพียงแห่งเดียวของประเทศพม่า ปัจจุบันให้บริการเส้นทางบินหลักๆ ภายในประเทศจากศูนย์การบินหลักที่ท่าอากาศยานนานาชาติย่างกุ้ง การเช่าเครื่องบินสองลำนี้นับเป็นการทำธุรกรรมครั้งแรกระหว่างสายการบินกับ จีอี แคปปิตอล อะวิเอชั่น เซอร์วิสเซส (GECAS)

ตลาดพีซีเอเชียปี55หดตัวครั้งแรในประวัติศาสตร์

ตลาดพีซีเอเชียปี55หดตัวครั้งแรในประวัติศาสตร์
ไอดีซี เผยผลการสำรวจตลาดพีซีภูมิภาคเอเชียปี 2555 หดตัวลงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยมีการหดตัวลง 2% เมื่อเทียบกับปี 2554 โดยมีจำนวนยอดจัดส่งอยู่ที่ 121 ล้านเครื่อง ชี้อัลตร้าบุ๊ก และวินโดวส์ 8 มิอาจกระตุ้นตลาดพีซีได้เลย...ไอดีซี ได้รายงานผลการสำรวจเบื้องต้นสำหรับตลาดเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นญี่ปุ่น) ประจำปี 2555 ซึ่งพบว่า ตลาดมีการหดตัวลง 2% เมื่อเทียบกับปี 2554 โดยมีจำนวนยอดจัดส่งอยู่ที่ 121 ล้านเครื่อง ถือเป็นการหดตัวลงครั้งแรกในภูมิภาคนี้ การใช้จ่ายซื้อสินค้าพีซีทั้งในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจเริ่มลดลง อันเนื่องมาจากการที่ความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลกได้ส่งผลมาถึงระบบเศรษฐกิจของเอเชียแปซิฟิกแล้วยิ่งไปกว่านั้น ความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ก็ยังทำให้ยอดการซื้อพีซีของผู้บริโภคปรับลดลงเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสสุดท้ายของปี 2555 ที่ตลาดหดตัวลงถึง 5% ต่ำกว่าที่ไอดีซีได้คาดการณ์ไว้ 4% ส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้จัดจำหน่ายไม่สามารถระบายสินค้าคงคลัง ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการรุ่นเก่าได้ทันเวลา ทำให้ไม่สามารถสั่งสินค้าที่มาพร้อมระบบปฏิบัตการวินโดวส์ 8 ได้ตามที่วางแผนไว้นายอวินาช เค ซุนดาราม นักวิเคราะห์อาวุโสสายงานศึกษาตลาดไคลเอนต์ดีไวซ์ของไอดีซี ระบุว่า นวัตกรรมใหม่ๆ เช่น อัลตร้าบุ๊กและวินโดวส์ 8 ไม่สามารถช่วยกระตุ้นตลาดพีซีได้มากเท่าที่หลายคนหวังเอาไว้ โดยไอดีซีเองได้ปรับการคาดการณ์การเติบโตของตลาดให้อยู่ในระดับที่ต่ำมากตลอด 2-3 ปีข้างหน้านี้ แต่เราต้องไม่ลืมว่ามูลค่าตลาดพีซียังอยู่ในระดับสูง ซึ่งแค่ในภูมิภาคนี้ก็มีมูลค่าตลาดสูงถึง 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แล้วเลอโนโวยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดในปี 2555 ได้อย่างเหนียวแน่นจากการขยายตลาดใหม่ๆ นอกเหนือจากตลาดในประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดตลาดใหม่ในอินเดีย ในขณะที่เอชพียังอยู่ในช่วงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานภายในขององค์กร แต่ก็ยังมีข่าวดีที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในหมู่คู่ค้าได้มากขึ้น ทำให้ยอดขายปรับลดลงไม่มากนัก ส่วนเดลล์ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ด้วยการมุ่งความสนใจไปที่ตลาดบนมากขึ้น และเอซุสก็ยังคงขยายตลาดไปสู่เมืองและจังหวัดเล็กๆ ในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง.  

Tuesday, January 22, 2013

ประดิษฐ์เครื่องซักล้างเสื่อแทนคน

ประดิษฐ์เครื่องซักล้างเสื่อแทนคน
                          จากอดีตจนปัจจุบันควาามยาวและขนาดของเสื่อผืนขนาดใหญ่ที่ใช้บริการอยู่ตามวัดวาอารามต่าง ๆ นั้นได้กลายเป็นปัญหาสำคัญในการซักล้างทำความสะอาดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากการซักล้างเสื่อประเภทนี้จำเป็นต้องใช้แรงงานคนเท่านั้น และที่สำคัญใช้เวลานานและการทำความสะอาดไม่ทั่วถึง ด้วยเหตุนี้ทำให้กลุ่มนักศึกษาสาขาช่างเชื่อมโลหะ วิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์ ซึ่งประกอบด้วย มงคล อินศรี, อนุรักษ์ นุชอยู่ และอธิวัฒน์ มั่นกำเนิด โดยมี อ.ประจวบ ปั้นจาด เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา มีแนวคิดที่จะหาเครื่องทุ่นแรงเพื่อมาช่วยทำความสะอาดเสื่อดังกล่าว                           "พวกผมไปเห็นเสื่อตามวัดต่างๆ สกปรกมาก บางผืนก็ไม่เคยซักเลยมาตั้งแต่ต้นหรือการซักแต่ละครั้งก็ใช้คนซัก ลำบากมาก เพราะเสื่อผืนใหญ่และยาว ก็เลยมาคิดว่าน่าจะคิดประดิษฐ์เครื่องซักเสื่อเพื่อทดแทนแรงงานคนและช่วยทุ่นแรง จึงได้ร่วมกับเพื่อนมาคิดทำโครงงาน โดยมีอาจารย์ประจวบ(ปั้นจาด)คอยให้คำปรึกษา ซึ่งก็ใช้เวลาลองผิดลองถูกอยู่นานเป็นปีเหมือนกัน ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จเป็นเครื่องซักล้างทำความสะอาดอย่างที่เห็นอยู่ในขณะนี้"                           มงคล อินศรี หัวหน้าทีมนักประดิษฐ์ ย้อนที่มาของเครื่องซักล้างทำความสะอาดเสื่อ ซึ่งเป็นผลงานนวัตกรรมดีเด่นที่ได้รับรางวัลชนะเลิศประเภท 1 นวัตกรรมเพื่อการพัฒนา จากโครงการประกวดแข่งขันผลงานนักศึกษาสถาบันอาชีวศึกษาในกลุ่มภาคเหนือ จัดโดยของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ ที่ จ.นครสวรรค์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา                            รายละเอียดของเครื่องซักล้างดังกล่าวนี้เป็นระบบการทำงานด้วยหัวฉีด มีปริมาณน้ำที่ใช้แต่ละครั้งอยู่ระหว่าง 30-60 ลิตร ใช้ขนาดเสื่อกว้าง 93-110 เซนติเมตร และยาว 20-30 เมตร มีน้ำหนักประมาณ 12 กิโลกรัม โดยมีพิกัดเวลาต่ำสุด 5 รอบ/นาที และสูงสุด 15 รอบ/นาที ส่วนน้ำหนักของเครื่องนั้นประมาณ 80 กิโลกรัม สำหรับน้ำที่ใช้แล้วก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ด้วยการนำไปรดน้ำต้นไม้                           "เครื่องซักล้างที่คิดค้นขึ้นมานี้สามารถใช้ได้กับเสื่อทุกประเภท ทั้งเสื่อกก เสื่อพลาสติกและเสื่อพลาสติกผสมผ้าฝ้าย เพียงแต่ว่าเสื่อละชนิดอาจใช้ความเร็วรอบในการซักที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใช้ในการทอ อย่างเสื่อกกใช้เวลาประมาณ 5-10 รอบ/นาที เสื่อพลาสติก 10-14 รอบ/นาที ส่วนเสื้อพลาสติก+ผ้าฝ้ายจะใช้จำนวนรอบเยอะหน่อยประมาณ 15-29 รอบ/นาที"                           มงคลอธิบายถึงวิธีการใช้งานว่าเริ่มจากนำน้ำสะอาดหรือน้ำประปาใส่ลงไปในถังให้ได้ระดับที่ต้องการ หรือประมาณ 3 ใน 4 ของขนาดถัง จากนั้นนำเสื่อที่เตรียมไว้ต้องการซักล้างประกอบเข้ากับลูกกลิ้งวางลงในถัง แล้วทำการม้วน จากนั้นก็เปิดสวิตช์มอเตอร์เพื่อให้เครื่องทำงาน พร้อมปรับความเร็วตามต้องการประเภทของเสื่อ พร้อมกับเปิดระบบทำความสะอาด โดยเลือกระบบออโต้ จนกว่าจะล้างคราบสกปรกออกจากเสื่อทั้งหมด จากนั้นก็ปิดสวิตช์มอเตอร์เพื่อนำเสื่อออกจากเครื่องแล้วนำไปผึ่งแดดให้แห้งต่อไป                           "การซักล้างขึ้นอยู่กับความสกปรกของเสื่อ อาจจะครั้งเดียวหรือ 2 ครั้งก็ได้ โดยใช้น้ำเปล่าในการซักล้างจะไม่ใช้ผงซักฟอกร่วมด้วย เพราะระบบไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้กับผงซักฟอก ซึ่งต่อไปอาจจะพัฒนาไปถึงจุดนั้นพร้อมกับการติดตั้งตู้อบแห้งฆ่าเชื้อ ไม่จำเป็นต้องนำไปตากแดดอีก ส่วนต้นทุนการผลิตเครื่องนี้อยู่ที่ประมาณ 1.5 หมื่นบาท"                           เครื่องซักล้างทำความสะอาดเสื่อ นับเป็นนวัตกรรมเด่นที่เป็นผลงานของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์ การันตีด้วยรางวัลชนะเลิศประเภทนวัตกรรมเพื่อการพัฒนา ข้อดีช่วยทุ่นแรง ใช้งานง่ายและมีต้นทุนการผลิตที่ไม่แพงมากนัก สนใจชมสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวได้ในงานวันนักประดิษฐ์ประจำปี 2556 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.)ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ณ อิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 2-5 กุมภาพันธ์ 2556     -------------------- (ประดิษฐ์ 'เครื่องซักล้างเสื่อ' แทนคน นวัตกรรมเด่นผลงานนศ.เมืองลับแล : โดย...สุรัตน์ อัตตะ)      

แต้วเปลือกย้อมผ้าได้

แต้วเปลือกย้อมผ้าได้
                          บ้านเรามักจะพบต้น “แต้ว” ได้ทางภาคเหนือและภาคใต้ โดยเฉพาะตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง เปลือกเป็นสะเก็ดสีน้ำตาลเข้ม มีสรรพคุณใช้ย้อมผ้าได้                                เป็นไม้เถาเลื้อย ในวงศ์ Cratoxylum maingayi Dyer  เถามีขนาดย่อม แกนแข็ง มีหนาม ต้นสูงประมาณ 6-25 เมตร                             ใบ เป็นใบคู่ ออกเรียงสลับคู่ตรงกันข้ามกัน ขอบขนาน โคนและปลายใบแหลมเรียว ก้านใบมีขนยาวประมาณ 1 เซนติเมตร                                ดอก ออกเป็นกระจุกช่อสั้นเล็กตามกิ่ง แต่ละช่อมี 5 ดอก กลีบดอกสีชมพู มีครุยเป็นฝอยที่ปลายดอก มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน                             ผล รูปไข่ ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่จัดจะสีแดงแตกเป็น 3 แฉก ข้างในมีเมล็ดทรงรีคล้ายข้าวสาร มีปีก                                ขยายพันธุ์  เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง หรือทาบกิ่ง ชอบพื้นดินที่มีความชื้นสูง และมีแสงแดดเต็มวัน     -------------------- (ไม้ดีมีประโยชน์ : 'แต้ว' เปลือกย้อมผ้าได้ : โดย...นายสวีสอง)      

ขนมดอกกระโดนโดนใจมาเลย์

ขนมดอกกระโดนโดนใจมาเลย์
                          เป็นเวลานานนับ 20 ปีที่ “ดวงจันทร์ สุกระมณี” หรือ “ป้าพร” ยืนหยัดปักหลักขายขนมพื้นบ้านอยู่กลางเมืองหาดใหญ่ ดินแดนที่ถูกยกให้เป็นเมืองหลวงทางเศรษฐกิจของภูมิภาคแห่งนี้ เพราะคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ขนมท้องถิ่นของสตรีสูงวัยจะสู้กระแสทางการตลาดของสินค้าแนวใหม่ที่ปูพรมถาโถมใส่เพื่อเอาใจผู้บริโภค                           ทว่าด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ โดยเฉพาะการเอาใจใส่ในสินค้าทุกชิ้นของเธอแล้วทำให้ “ขนมดอกกระโดน”  ซึ่งเป็นของอร่อยที่มีต้นกำเนิดจากดินแดนแหลมมลายู สามารถครองใจชาวหาดใหญ่ และนักท่องเที่ยวจากประเทศมาเลเซียไว้ได้อย่างเหนียวแน่นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา                           “ป้าพร” สตรีผู้มีถิ่นฐานจาก ต.ควนโส อ.ควนเนียง จ.สงขลา ซึ่งเดินทางมามาพร้อมกับสูตรขนมดอกกระโดน พร้อมกับเริ่มวางขายบนรถเข็นเล็กๆ กลางใจเมืองหาดใหญ่เมื่อเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา เล่าย้อนอดีตว่า แรกเริ่มเดิมทีได้นำขนมพื้นบ้านหลายชนิดมาวางจำหน่ายลูกค้า แต่มีเพียงเมนูดอกกระโดนเท่านั้นที่ขายดี เหตุนี้เธอจึงตัดสินใจทำขนมชนิดนี้เพียงอย่างเดียว โดยเน้นคุณภาพเพื่อมัดใจลูกค้าให้ภักดีกับเราเพียงเจ้าเดียว                           “เอกลักษณ์ของดอกกระโดนเจ้านี้คือทุกครั้งที่หยอดแป้งลงไปในแม่พิมพ์กระทั่งขนมสุกได้ที่นั้น เมื่อนำขึ้นจากเตาถ่านหากพบว่าขนมมีรอยเกรียมไหม้จะเก็บทันทีและพร้อมทำใหม่ให้ลูกค้าใหม่เพื่อความอร่อยทุกคำที่สัมผัสลิ้นต้องพอดี เช่นเดียวกับมะพร้าวที่นำมาใส่ในขนมต้องเป็นมะพร้าวทึนทึกที่ได้จาก อ.บางกล่ำ และบ้านคลองหวะ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลาเท่านั้น เพราะคุณภาพของมะพร้าวที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องหวานหอมอร่อยมากกว่าหลายๆ ที่ ด้วยเคล็ดลับทั้งหมดทำให้ชูรสชาติขนมจนลูกค้าติดใจมาอุดหนุนตลอด 20 ปี” ป้าพร กล่าว                           ที่สำคัญความอร่อยในแบบฉบับของขนมดอกกระโดนซึ่งไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์ความอร่อยเฉพาะตัวนี่เอง ทำให้ล่าสุดมีผู้มาติดต่อขอซื้อสูตรเพื่อไปจำหน่ายทั้งในกรุงเทพฯ รวมถึงภาคเหนือ ไม่เว้นแม้กระทั่งประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย แต่ท้ายที่สุดก็ถูกปฏิเสธเนื่องจากเจ้าตัวต้องการเก็บไว้เป็นมรดกตกทอดให้ลูกหลานและสมาชิกในครอบครัวได้สานต่อยึดเป็นอาชีพในอนาคตเท่านั้น                           นอกจากนี้จุดเด่นของความอร่อยของขนมดอกกระโดน สูตรป้าพร คือ การแช่ข้าวสารในน้ำนาน 6 ชั่วโมงก่อนนำมามาบดมือ จากนั้นจึงนำมาผสมกับน้ำตาลโตนด ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยให้ขนมดอกกระโดนมีความนุ่ม หอมกรุ่นกลิ่นน้ำตาลโตนด โดยเฉพาะเวลาสุกและพร้อมขึ้นจากเตาเสิร์ฟลูกค้าจะมีกลิ่นเย้ายวนใจเป็นอย่างมาก                           “ขนมลักษณะนี้ไม่เพียงจะถูกใจคนไทยรุ่นใหม่ในหาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังถูกปาก ถูกลิ้นนักท่องเที่ยวมาเลเซียอีกด้วยเพราะเป็นของหากินยาก แตกต่างจากขนมสมัยใหม่ที่ขายในห้างร้านชื่อดัง เพราะที่ประเทศของเขาก็สามารถหาซื้อรับประทานได้นั่นเอง” ป้าพร กล่าว                           สำหรับสนนราคาขายขนมดอกกระโดนเจ้านี้คือหากเป็นชนิดที่ไม่ใส่ไข่จะอยู่ที่ราคา 7 บาทต่อแผ่น หากใส่ไข่จะขายอยู่ที่ราคา 18 บาท โดยลูกค้าประเทศเพื่อนบ้านจะชื่นชอบและนิยมรับประทานแบบใส่ไข่มาก ส่วนหนึ่งเพราะที่ร้านจะเลือกใช้ไข่ไก่เบอร์ 0 ซึ่งเป็นเบอร์ใหญ่สุดเท่านั้น เพราะจะช่วยทำให้ขนมนุ่ม หอมมากกว่าไข่ไก่เบอร์ที่ขนาดเล็ก นอกจากนี้ขนมดอกกระโดนเจ้านี้ยังเป็นที่ถูกปากบรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ใน จ.สงขลา อีกด้วย โดยมีออเดอร์สั่งซื้อเข้ามาเพื่อนำไปรับประทานเป็นของว่างกับน้ำชาและกาแฟทุกวันอีกด้วย                           ดังนั้นหากใครอยากรับประทานหรือลองลิ้มชิมรสชาติขนมดอกกระโดนของ “ดวงจันทร์ สุกระมณี” หรือ “ป้าพร” สามารถแวะไปอุดหนุนกันได้ที่ถนนศุภสารรังสรรค์ ซอย 5 เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ ได้ทุกวันไม่มีวันหยุด     -------------------- (2 ทศวรรษ 'ขนมดอกกระโดน' ยึดมั่นคุณภาพ - โดนใจมาเลย์ โดย...สุพิชฌาย์ รัตนะ)      

ปณท ลดค่าส่งของใหญ่ไปนอก เพิ่ม 10% ขยายปลายทาง 32 ปท.ทั่วโลก

ปณท ลดค่าส่งของใหญ่ไปนอก เพิ่ม 10% ขยายปลายทาง 32 ปท.ทั่วโลก
ไปรษณีย์ไทยหนุนส่งออกไทยสู่ตลาดโลก ลุยเปิดเพิ่มประเทศปลายทางส่งโลจิสโพสต์เวิลด์ อำนวยความสะดวกส่งของใหญ่ที่มีน้ำหนักมากไปต่างประเทศ ราคาประหยัด พร้อมส่วนลด 10% ตั้งแต่วันนี้–15 มี.ค. 56...เมื่อวันที่ 22 ม.ค. นางปริษา ปานะนนท์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) กล่าวว่า การเปิดเพิ่มพื้นที่ปลายทางให้บริการโลจิสโพสต์เวิลด์ส่งของใหญ่ระหว่างประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการแก่ผู้ประกอบการธุรกิจที่ส่งออกสินค้าขนาดใหญ่ หรือส่งออกสินค้าคราวละมากๆ น้ำหนักตั้งแต่ 20–200 กก. อาทิ สินค้าโอทอป เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน ไปยังต่างประเทศได้อย่างครอบคลุมทั่วโลก ไปรษณีย์ไทยจึงได้กำหนดประเทศปลายทางเพิ่มเติมอีก 25 ประเทศ จากเดิมที่เปิดนำร่องให้บริการไปแล้วในระยะแรก 7 ประเทศ รวมเป็น 32 ประเทศ อาทิ เวียดนาม เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี อิตาลี แคนาดา ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ สหรัฐฯ และนิวซีแลนด์ เป็นต้นโดยใช้ระบบขนส่งทางอากาศที่ได้มาตรฐานสากล ส่งถึงปลายทางภายใน 7-10 วันทำการ สามารถตรวจสอบสถานะสิ่งของผ่านระบบ track&trace ได้ตลอด 24 ชม. ผ่านทางเว็บไซต์ www.thailandpost.co.th อัตราค่าบริการคิดตามน้ำหนักและพื้นที่ปลายทาง นอกจากนี้ ยังสามารถใช้บริการรับประกันเพิ่มเติมวงเงินได้ ติดต่อขอใช้บริการได้ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ 82 แห่งทั่วประเทศ อาทิ หลักสี่ ตลิ่งชัน สมุทรปราการ ราชดำเนิน บางพลี บางบัวทอง ปทุมธานี สระบุรี ชลบุรี บางปะกง อุบลราชธานี ขอนแก่น เชียงใหม่ ลำพูน สมุทรสาคร ภูเก็ต สงขลา เป็นต้นผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด ปณท กล่าวต่อว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ปณท มุ่งมั่นพัฒนาบริการเพื่อสนองตอบทุกความต้องการในการส่งอย่างเต็มที่ เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับบริการที่มีประสิทธิภาพและตรงความต้องการมากที่สุด ซึ่งในปีนี้โลจิสโพสต์เวิลด์ส่งของใหญ่ระหว่างประเทศ ได้ขยายประเทศให้บริการปลายทางเป็น 32 ประเทศทั่วโลก รองรับความต้องการส่งของที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ รองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในอนาคตอีกด้วย โดยสินค้าหรือสิ่งของที่ผ่านพิธีการศุลกากรขาออกและหุ้มห่อภายในกล่องพัสดุอย่างเรียบร้อย เตรียมพร้อมฝากส่ง ณ ที่ทำการฯ จะถูกส่งต่อไปยังสายการบิน ซึ่งมีเที่ยวบินออกจากประเทศทุกวัน ร่วม 30 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ มั่นใจได้ว่าผู้ประกอบการจะส่งออกสินค้าไปต่างประเทศจะได้บริการที่สะดวก คุ้มค่า ในราคาประหยัด ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าปลายทางที่ใช้บริการมากที่สุด ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ตามลำดับทั้งนี้ สำหรับผู้ใช้บริการโลจิสโพสต์เวิลด์ส่งของใหญ่ระหว่างประเทศ ตั้งแต่วันนี้–15 มี.ค.2556 รับส่วนลด 10% ต่อชิ้นทันทีที่ใช้บริการ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ 82 แห่งที่เปิดให้บริการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายตลาดสื่อสารและขนส่ง โทร.0-2831-3213, 0-2831-3906 คอลเซ็นเตอร์ 1545   

เผยเทรนด์คลาวด์ไทยเติบโต ชี้องค์กรหวังปฏิรูปไอทีและธุรกิจ

เผยเทรนด์คลาวด์ไทยเติบโต ชี้องค์กรหวังปฏิรูปไอทีและธุรกิจ
วีเอ็มแวร์ คาดการณ์เกี่ยวกับเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งในปี 2556 การันตีแนวคิดไฮเทคจะพลิกโฉมวงการไอทีและภาคธุรกิจ การทำเวอร์ชวลไลเซชั่นและแอพฯ จะเป็นบทบาทสำคัญ...วีเอ็มแวร์ อิงค์ ผู้นำด้านเทคโนโลยีเวอร์ชวลไลเซชั่นและโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ ได้คาดการณ์ว่าปี 2556 จะเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับองค์กรธุรกิจในประเทศไทย โดย นายชวพล จริยาวิโรจน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทยและอินโดจีน วีเอ็มแวร์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทต่างๆ ตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของระบบประมวลผลคลาวด์คอมพิวติ้งในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รักษาขีดความสามารถด้านการแข่งขัน และขยายโอกาสในการเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น บริษัทคาดว่าการปรับเปลี่ยนบทบาทของผู้บริหารซีไอโอ การทำเวอร์ชวลไลซ์สำหรับแอพพลิเคชั่นสำคัญๆ ทางด้านธุรกิจ การริเริ่มใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์ที่กำหนดด้วยซอฟต์แวร์ (Software-Defined Datacenter) โมบิลิตี้ และการปรับใช้เทคโนโลยีในธุรกิจเอสเอ็มอี ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่จะช่วยผลักดันการเติบโตของเทคโนโลยีคลาวด์ และส่งผลให้ปี 2556 เป็นช่วงเวลาแห่งการปฏิรูปไอทีและธุรกิจในประเทศไทย องค์กรต่างๆ มองว่าการลงทุนในคลาวด์คอมพิวติ้งเป็นหนทางที่จะเพิ่มขีดความสามารถและเสริมสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขันในสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่มีความท้าทายเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ตอบแบบสอบถามในไทยเห็นพ้องต้องกันว่าคลาวด์คอมพิวติ้งจะช่วยให้องค์กรสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น (83%) และหากบริษัทของตนไม่ได้ดำเนินโครงการคลาวด์ ก็จะไม่สามารถก้าวตามคู่แข่งได้ทัน (68%)ดัชนีคลาวด์ของวีเอ็มแวร์ประจำปี 2555 ระบุอย่างชัดเจนถึงความก้าวหน้าและการริเริ่มของการปฏิรูปไอทีในประเทศไทย เพราะคาดว่าเกือบครึ่งหนึ่งของตลาดในเมืองไทยมีแผนที่จะปรับใช้เทคโนโลยีคลาวด์ภายใน 18 เดือนข้างหน้า โดยผู้ตอบแบบสอบถามในเมืองไทยระบุเหตุผลสำคัญสำหรับการปรับใช้เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง ได้แก่ การเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงทรัพยากรไอที (80%), ความสามารถในการปรับปรุงการจัดการไอทีและระบบงานอัตโนมัติ (78%) และความต้องการที่จะเสียค่าใช้จ่ายไอทีตามปริมาณการใช้งานจริงในส่วนงานธุรกิจ (76%)บทบาทของผู้บริหารซีไอโอกำลังเปลี่ยนไป ขณะที่บริษัทต่างๆ ต้องการให้ผู้บริหารฝ่ายไอทีผลักดันการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมทั่วทั้งองค์กร หมายความว่าฝ่ายไอทีไม่สามารถดำเนินงานในลักษณะของศูนย์รวมต้นทุนได้อีกต่อไป ปัจจุบันผู้บริหารฝ่ายไอทีจะต้องใช้แนวคิดของระบบไอทีในรูปแบบบริการ เพื่อเพิ่มผลกำไรของบริษัท โดยอาศัยรูปแบบของบริการที่ใช้ร่วมกัน (shared services) การผนวกรวมระบบแบ็กออฟฟิศเข้าด้วยกันโดยใช้โซลูชั่นคลาวด์ช่วยให้องค์กรมีความคล่องตัวมากขึ้นและสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งบุคลากรก็ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถใช้ทรัพยากรต่างๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพนายชวพล กล่าวอีกว่า หนึ่งในเป้าหมายหลักของคลาวด์คอมพิวติ้งก็คือ การจัดหาการบริการตนเอง (self-service) สำหรับผู้ใช้ในองค์กร รวมถึงไอทีในรูปแบบของบริการ (IT-as-a-service) นั่นหมายความว่าฝ่ายไอทีไม่ได้เป็นศูนย์รวมต้นทุนสำหรับบริษัทอีกต่อไป แต่จะต้องหารายได้เข้าสู่หน่วยงานด้วยการขายบริการแก่ผู้ใช้ในองค์กร ฝ่ายไอทีจึงต้องดำเนินงานในรูปแบบขององค์กรธุรกิจ โดยจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับต้นทุนและการคิดค่าใช้จ่ายกับหน่วยงานอื่นๆ ในสายงานธุรกิจอย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการให้บริการตามระดับที่กำหนด และรักษาคุณภาพการบริการในด้านอื่นๆ อย่างที่ลูกค้าในสายงานธุรกิจคาดหวังไว้เวอร์ชวลไลเซชั่นช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพทางด้านไอที รวมไปถึงความยืดหยุ่น และความพร้อมใช้งาน โดยจะปฏิรูปการให้บริการ ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย การรวมแอพพลิเคชั่นสำคัญๆ ทางด้านธุรกิจ เช่น Microsoft Exchange, SQL Server, SAP และ Oracle จะช่วยให้องค์กรธุรกิจได้รับประโยชน์สูงสุด อย่างไรก็ตาม หลายๆ บริษัทยังลังเลที่จะรวมแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ไว้ในแผนพัฒนาระบบเวอร์ชวลไลเซชั่น เพราะยังขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญภายในองค์กรที่จะดูแลการทำเวอร์ชวลไลซ์ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานสำหรับแอพพลิเคชั่นสำคัญๆ หรือการรับรู้ถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการเหล่านี้บริษัทคาดการณ์ว่าลูกค้าในเมืองไทยจะหันมาใช้แพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานของวีเอ็มแวร์ เพื่อปรับใช้และควบคุมดูแลแอพพลิเคชั่นสำคัญๆ ทางด้านธุรกิจที่ผ่านการทำเวอร์ชวลไลซ์ได้อย่างมั่นใจ ที่จริงแล้ว 71% ของผู้ตอบแบบสอบถามดัชนีคลาวด์ประจำปี 2555 ระบุว่าองค์กรของตนจะพิจารณาการทำเวอร์ชวลไลซ์สำหรับแอพพลิเคชั่นทางด้านธุรกิจที่มีความสำคัญมากที่สุด 10 อันดับภายในองค์กร นายชวพล กล่าวทั้งนี้ บริษัทต่างๆ สามารถพัฒนาอย่างก้าวกระโดดด้วยดาต้าเซ็นเตอร์ที่กำหนดด้วยซอฟต์แวร์ (Software-Defined Datacenter) ปัจจุบัน องค์กรจำเป็นที่จะต้องปรับใช้แนวทางแบบรอบด้านในการวางแผนสร้าง และบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานไอที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่กำลังก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ของคลาวด์คอมพิวติ้ง เทคโนโลยีเวอร์ชวลไลเซชั่นช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านไอที ควบคู่ไปกับการปรับปรุงประสิทธิภาพ ปัจจุบันหน่วยงานธุรกิจจำเป็นที่จะต้องเข้าถึงทรัพยากรไอทีอย่างรวดเร็ว เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินโครงการและการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด ในทางกลับกัน ฝ่ายไอทีก็จำเป็นที่จะต้องรองรับการดำเนินการดังกล่าว ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการดาต้าเซ็นเตอร์อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพวีเอ็มแวร์เชื่อว่า แนวทางการกำหนดด้วยซอฟต์แวร์ (Software-Defined Datacenter) สำหรับระบบประมวลผลดาต้าเซ็นเตอร์จะช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านี้ และเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดหาบริการดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งหมด ส่วนเดสก์ท็อปเวอร์ชวลไลเซชั่นขับเคลื่อนโมบิลิตี้ การขยายสำนักงานสาขา และกลยุทธ์การโยกย้ายระบบ Windows วีเอ็มแวร์คาดการณ์เพิ่มเติมว่า ในปี 2556 องค์กรส่วนใหญ่จะตระหนักว่าการประมวลผลไม่ได้ถูกดำเนินการโดยระบบไคลเอ็นต์หนึ่งเครื่องเหมือนกับพีซีอีกต่อไป แต่งานประมวลผลสำคัญๆ จะถูกดำเนินการในระบบคลาวด์แทน เนื่องจากการสนับสนุน Windows XP กำลังจะสิ้นสุดลงในปี 2556 ดังนั้นบริษัทต่างๆ จะมองหาหนทางที่ง่ายดายกว่าในการอัพเกรดระบบปฏิบัติการ โดยแทบไม่ก่อให้เกิดการหยุดชะงักต่อธุรกิจอย่างไรก็ตาม เวอร์ชวลไลเซชั่นจะได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้นในองค์กรธุรกิจเอสเอ็มอีของไทย โดยบริษัทต่างๆ มุ่งเน้นการขยายคุณประโยชน์ของเวอร์ชวลไลเซชั่น เพื่อเพิ่มความพร้อมใช้งานของระบบไอที รวมถึงการแบ็กอัพและกู้คืนข้อมูล แม้ว่าเวอร์ชวลไลเซชั่นจะเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ได้เป็นจุดหมายสุดท้าย ที่จริงแล้วเวอร์ชวลไลเซชั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นในการวางรากฐานใหม่ เพื่อรองรับแนวคิดและโอกาสใหม่ๆ สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอี ด้วยการใช้ประโยชน์จากบริการคลาวด์คอมพิวติ้ง เอสเอ็มอีจะไม่ต้องวุ่นวายกับการติดตั้งและบำรุงรักษาระบบไอที เพื่อให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลและแอพพลิเคชั่นของบริษัทได้อย่างปลอดภัย.

ATCI ร่วมเปิดสถาบันIMC หนุนวงการไอทีไทยรับเออีซี2015

ATCI ร่วมเปิดสถาบันIMC หนุนวงการไอทีไทยรับเออีซี2015
เปิดตัวแล้วสำหรับ สถาบัน IMC ที่มี ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ นั่งเป็น ผอ.โดยมีภาระกิจหลักรวบรวมข้อมูลสร้างผลงานวิจัย  พัฒนาบุคลากรในวงการไอที ให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของวงการไอที และจับคู่ธุรกิจให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไอซีทีของไทย...สถาบัน IMC โดยการสนับสนุนของสมาคมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (ATCI) ก่อตั้งโดยกลุ่มคนไอทีที่ได้เล็งเห็นถึงเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยีสำคัญสี่ด้านได้แก่ Cloud Computing, Mobile Technology, Social Network และ Information (Big Data) ที่ส่งผลต่อแนวโน้มการใช้งานไอทีและอุตสาหกรรมไอที โดยเฉพาะด้านซอฟต์แวร์ที่ต้องมีการปรับตัวอย่างมาก โดยมีบทบาทและพันธกิจสำคัญในการเป็นผู้นำทำวิจัยและสำรวจข้อมูลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ ในประเทศไทย ตลอดจนพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งในส่วนที่เป็นผู้บริหารและด้านเทคนิค และการจับคู่ธุรกิจให้กับกลุ่มผู้ประกอบซอฟต์แวร์โดยเฉพาะ หวังเตรียมความพร้อมไอซีไทยเข้าสู่ AEC 2015 นายธนชาติ  นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการ สถาบัน IMC กล่าวว่า  ปัญหาสำคัญประการหนึ่งของประเทศไทย คือ การขาดข้อมูลที่ถูกต้องในการวางแผนการนำ เทคโนโลยีสารสนเทศเข้าไปใช้งาน โดยเราขาดทั้งข้อมูลของการใช้งาน ข้อมูลด้านบุคลากร และข้อมูลการสำรวจแนวโน้มต่างๆ โดยข้อมูล ที่นำมาใช้ทั่วไปมักจะเป็นข้อมูลจากสถาบันวิจัยในต่างประเทศที่เน้นข้อมูลใน ภูมิภาคมากกว่าเจาะลึกข้อมูลในประเทศไทย นอกจากนี้ เรายังขาดการสร้างความตระหนักและการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้งานอย่างถูก ต้อง และขาดการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอีกด้วย ผอ.สถาบัน IMC กล่าวต่อว่า ไอเอ็มซี จึงเกิดขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์ที่ต้องการร่วมเป็นหนึ่งในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไอซีทีของไทยให้สามารถแข่งขันบนเวทีโลกได้ ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมีบทบาทของการเป็น ผู้นำทำวิจัย และสำรวจข้อมูล ด้านเทคโนโลยี สารสนเทศต่างๆ ในประเทศไทย ทั้งข้อมูลด้านบุคลากร การสำรวจการใช้งาน ตลอดจนสำรวจแนวโน้ม การใช้งาน เทคโนโลยีสารสนเทศในประเทศ นอกจากนี้ ยังเน้นในเรื่องของการพัฒนาบุคลากร และสร้างความตระหนัก การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้กับผู้บริหารและพนักงานขององค์กรต่างๆ นายธนชาติ กล่าวอีกว่า ในส่วนของ 3 ภารกิจหลักที่สถาบัน IMC ได้วางแผนดำเนินการได้แก่ (1) การวิจัยเชิงนโยบายและสำรวจตลาดด้านเทคโนโลยีสารสนเทศภายในประเทศไทย (2) การพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งในส่วนที่เป็นผู้บริหารและด้านเทคนิค เพื่อให้เข้าใจถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และ (3) การสนับสนุนทางด้านจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีเกิดใหม่และกำลังเติบโต (Emerging Technology) เพื่อเข้าสู่ตลาด AEC 2015 ทั้งนี้ สถาบัน IMC และ ATCI มีเป้าหมายร่วมกันที่จะบรรลุภารกิจหลักของสถาบันภายใน 2 ปี  และมีแนวคิดสอดคล้องกันที่จะพัฒนา 3 ภารกิจดังกล่าวให้เกิดประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมไอทีในภาพรวม ด้าน นายอดิเรก ปฏิทัศน์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย หรือ ATCI เปิดเผยว่า ATCI ได้ให้ความสำคัญกับข้อมูลการตลาด การวิจัยและพัฒนาไอทีมาโดยตลอด สมาคมฯได้ริเริ่มจัดทำการสำรวจการตลาดไอทีมาตั้งแต่ปี 1993 ซึ่งเป็นเวลา 19 ปีแล้ว และหวังที่จะให้มีการสำรวจที่กว้างขวางและต่อเนื่อง การร่วมมือกับสถาบัน IMC ในครั้งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่มีความหมายอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มผู้ผลักดันและสนับสนุนอุตสาหกรรมไอทีไทย ให้ก้าวทันโลกของการแข่งขันทั้งทางเทคโนโลยีและทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังจะเป็นการตอกย้ำในวิสัยทัศน์ของการเปิดกรอบ จัดรูปทางความคิดเพื่อโลกแห่งการปฏิรูปของไอทีในประเทศ ให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง นายกสมาคม ATCI กล่าวด้วยว่า ในนามของ  ATCI เราได้สานต่อกิจกรรมมากมาย ที่เน้นให้ผู้ประกอบการทั่วประเทศมีโอกาสเข้าใจและใช้ประโยชน์จากไอทีได้อย่างมีประสิทธิภาพ  และต่อยอดการทำธุรกิจทางด้านไอทีอย่างมีประสิทธิผล เราจึงมีความยินดีอย่างยิ่งที่ภาคไอทีไทย จะมีสถาบันทางด้านวิจัยเชิงนโยบายและสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับตลาดทางด้านไอทีโดยตรง โดยสถาบัน IMC นับเป็นผู้บุกเบิกเพื่อให้ผู้ประกอบการไอทีของเรามีข้อมูลภายในประเทศไทยที่สมบูรณ์ เพื่อใช้วางแผนงานและแผนพัฒนาธุรกิจได้ดีขึ้น นอกจากนี้จากข้อมูลที่สถาบันได้มาทั้งหมด จะนำไปพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมบุคคลากรได้ตรงกับความต้องการของตลาดได้ดีกว่าที่เป็นอยู่อีกด้วย.

Monday, January 21, 2013

เอชพีคว้าใบประกาศหมึกพิมพ์มาตรฐานจากยูแอล ย้ำภาพเทคโนโลยีสีเขียว

เอชพีคว้าใบประกาศหมึกพิมพ์มาตรฐานจากยูแอล ย้ำภาพเทคโนโลยีสีเขียว
เอชพี ตอกย้ำเทคโนโลยีสีเขียว หลังคว้าประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์โดยยูแอล เป็นรายแรกจากหมึกพิมพ์อิงค์เจทชนิด water-based....บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด หรือเอชพี เปิดเผยว่าหมึกพิมพ์ HP Latex Inks และ HP A50 Inkjet Web Press Inks เป็นหมึกพิมพ์อิงค์เจทชนิด water-based 2 รุ่นแรกที่ได้รับประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ (Sustainable Product Certification) จากยูแอล เอ็นไวรอนเมนท์ (UL Environment) องค์กรธุรกิจในเครือของยูแอล (UL - UnderwritersLaboratories) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระระดับโลกด้านวิทยาศาตร์เชิงความปลอดภัย ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเพื่อยกระดับสุขอนามัยสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยในระดับสากล ผ่านการให้การสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การบริการและการบริหารองค์กรให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทั้งนี้ ประกาศนียบัตรภายใต้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของยูแอล ในหัวข้อผลิตภัณฑ์หมึกพิมพ์เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมจะแสดงผลทดสอบว่าหมึกพิมพ์ผ่านเกณฑ์การประเมินที่เข้มงวดเกี่ยวกับสุขภาพของมนุษย์และผ่านการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งแต่เดิมมาตรฐานนี้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อทดสอบหมึกพิมพ์ชนิดออฟเซต เลตเตอร์เพรส เฟลกโซกราฟิกและชนิดแม่พิมพ์ร่องลึก (กราเวียร์) ต่อมาจึงได้เพิ่มการทดสอบมาตรฐานของหมึกพิมพ์อิงค์เจทชนิด water-based หมึกพิมพ์ screen printing และหมึกพิมพ์ชนิด UV-curableซาร่า กรีนสไตน์ ประธานยูแอล เอ็นไวรอนเมนท์ กล่าวว่า เราชื่นชมเอชพีในความพยายามที่จะเป็นองค์กรแรกในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องพิมพ์ที่ได้รับประกาศนียบัตรการรับรองผลิตภัณฑ์ภายใต้มาตรฐาน UL 2801 เราเชื่อว่าทุกย่างก้าวที่เอชพีมีต่อสินค้าและกระบวนการผลิตเพื่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยให้ตลาดโดยรวมตระหนักถึงการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนต่อไปกีโด แวน ปราก รองประธานและผู้จัดการทั่วไปหน่วยธุรกิจกราฟิกโซลูชั่นเอชพี ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ในขณะที่ลูกค้าคอนซูเมอร์และกลุ่มองค์กรธุรกิจต่างมองหาตัวเลือกด้านการพิมพ์ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น ผู้ให้บริการด้านการพิมพ์จึงต้องนำเสนอทางเลือกใหม่เพื่อแสดงให้เห็นถึงพันธกิจขององค์กรต่อความยั่งยืน ทั้งนี้ หมึกพิมพ์เอชพีชนิด water-basedทั้ง 2 รุ่นที่ผ่านหลักเกณฑ์ตามมาตรฐานของยูแอลนั้น จะช่วยให้ลูกค้าของเราเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยประกาศนียบัตรที่เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือได้ในระดับสากล.

โลกาภิวัตน์ 21/01/56

โลกาภิวัตน์ 21/01/56
ป้องกันภัยหิมะถล่มครูฝึกแสดงการใช้อุปกรณ์ป้องกันภัยจากหิมะถล่ม  ระหว่างการฝึกสอนวิธีรักษาความปลอดภัยจากหิมะถล่ม  บนช่องเขาสโนว์คัวไม ในรัฐวอชิงตัน ของสหรัฐฯ.พื้นผิวดาวอังคารยานอวกาศ “เคียวริออส ซิที” บนดาวอังคาร ถ่ายภาพพื้นผิวดาวอังคาร ด้วยกล้องที่ติดอยู่กับเสาอากาศมาให้  เป็นบริเวณพื้นที่ลาด ระเกะ ระกะไปด้วยแง่หิน ที่โผล่พ้นพื้นดินขึ้นมา.อินเดียย้ายไปอยู่ที่ออสเตรเลียนักวิทยาศาสตร์ศึกษาพิสูจน์ดีเอ็นเอ พบว่า ชาวอินเดียพากันย้ายไปอยู่ที่ทวีปออสเตรเลียมาตั้งแต่ 4,000 ปีมาแล้ว ก่อนหน้าที่ชาวยุโรปไปตั้งถิ่นฐาน ช่วงทศวรรษ พ.ศ.2343 ตั้งนาน ซ้ำยังเป็นคนพาสุนัขที่กลายมาเป็นสุนัขพันธุ์พื้นเมืองออสเตรเลียทุกวันนี้ไปอยู่ด้วยกันด้วย.ยานอวกาศพ่วงช่างภาพขององค์การอวกาศสหรัฐฯ สร้างยานรูปร่างเหมือนกับบอลลูน ที่สร้างเพื่อใช้ห้อยพ่วงเข้ากับสถานีอวกาศในวงโคจรรอบโลก สำหรับเป็นที่พักอาศัยในอวกาศอย่างถูกๆ เพื่อไว้สำหรับเปิดให้บริษัทเอกชนขอเช่าพ่วงไปกับยานอวกาศในอนาคต.

ซีเอฯ ส่งโซลูชั่น ARCserve เจาะกลุ่มองค์กร ปกป้องข้อมูลแบบประหยัด

ซีเอฯ ส่งโซลูชั่น ARCserve เจาะกลุ่มองค์กร ปกป้องข้อมูลแบบประหยัด
ซีเอ เทคโนโลยี ผุดแคมเปญข้อมูลลูกค้าใหม่ไม่อั้น 3 ปี ดึงให้เปลี่ยนมาใช้โซลูชั่น CA ARCserve ชูจุดเด่นในการบริหารจัดการฟังก์ชั่น เน้นความยืดหยุ่นและประหยัดในยุคข้อมูลล้นมือ...ซีเอ เทคโนโลยี เปิดตัวแคมเปญใหม่ ด้วยข้อเสนอโซลูชั่นซอฟต์แวร์ระบบสำรองข้อมูลและกู้คืนสำหรับบริษัทที่ต้องการประหยัดงบประมาณไอที แต่กำลังเผชิญปัญหาข้อมูลขยายตัวอย่างรวดเร็วและต้องบริหารจัดการระบบไอทีที่มีความซับซ้อนสูง โดยตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มี.ค.2556 บริษัทที่เปลี่ยนซอฟต์แวร์แบ็กอัพและสำรองข้อมูล มาใช้งานโซลูชั่น CA ARCserve จากซีเอ เทคโนโลยี จะสามารถซื้อลิขสิทธ์การใช้แบบ Managed Capacity สามารถใช้งานได้ไม่จำกัดตลอด 3 ปีเต็ม โดยคิดราคาตายตัวไม่ว่าจะมีการขยายตัวของระบบสตอเรจในการใช้งานมากเพียงใด และลูกค้าสามารถต่อสัญญาการปกป้องข้อมูลได้อีกเมื่อสิ้นสุดปีที่ 3 นอกจากนี้ ซีเอ เทคโนโลยี ยังมีข้อเสนอลดราคาพาร์ตเนอร์ 25% จาก MSRP อีกด้วยการออกลิขสิทธิ์การใช้งานแบบ Managed Capacity ของโซลูชั่น CA ARCserve ช่วยให้บริษัทผู้ใช้งานสามารถบริหารจัดการสลับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นและประหยัด ตรงตามเป้าการสำรองข้อมูลที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละองค์กรที่ใช้งาน เป็นลิขสิทธ์ที่อนุญาตใช้งานที่เป็นหนึ่งเดียว ดูแลง่าย คิดค่าใช้จ่ายตามปริมาณของข้อมูลที่มีการใช้งาน หน่วยเป็นเทราไบต์นายนักรบ เนียมนามธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียวริตี้ ซิสเต็มส์ เอพี จำกัด กล่าวว่า ลิขสิทธิ์การใช้แบบ Managed Capacity ของโซลูชั่น CA ARCserve เป็นทางเลือกใหม่ให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า ช่วยลดปัญหาการบริหารจัดการไลเซ่นส์ซอฟต์แวร์ในองค์กรและวางแผนงบประจำปีได้ง่ายนายเจมส์ ฟอร์บ เมย์ รองประธานฝ่ายบริหารจัดการข้อมูล ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท ซีเอ เทคโนโนโลยี กล่าวว่า ปัจจุบันลูกค้ากำลังเผชิญปัญหาค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปัญหาความซับซ้อนในงานปกป้องสำรองข้อมูลในระบบที่กำลังขยายตัวทั้งในแง่แอพพลิเชั่นและเซอร์วิสที่ใช้งาน ในยุคระบบไอทีมีการใช้งานเวอร์ช่วลไลเซชั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ข้อเสนอพิเศษของบริษัทจะช่วยให้ลูกค้ามีโอกาสมากขึ้นที่จะหันมาใช้งานระบบ CA ARCserve เพื่องานปกป้องข้อมูลระบบที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และดูแลจัดการได้ง่ายขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ซีเอ เทคโนโลยี ยังได้ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์สำคัญและราคาที่มีในโซลูชั่น CA ARCserve ที่มุ่งเน้นช่วยลูกค้าและเซอร์วิสโพรไวเดอร์ ที่ต้องการโซลูชั่นงานปกป้องข้อมูลที่ครอบคลุมและใช้งานง่าย โดยได้มีการปรับโซลูชั่นให้มีระบบไลเซ่นการใช้งานที่เรียบง่ายใช้สะดวก รวมทั้งด้านราคาที่ประหยัดกว่า ยืดหยุ่นกว่าเพื่องานกู้ระบบที่สะดวกรวดเร็วและเป็นไปตามเป้าหมายการใช้งานจริง.

Sunday, January 20, 2013

เร่งศึกษาสายงานวิชาชีพไอซีที เสริมเขี้ยวเล็บบุคลากรไทย

เร่งศึกษาสายงานวิชาชีพไอซีที เสริมเขี้ยวเล็บบุคลากรไทย
 ไอซีที เดินสายศึกษาข้อมูลสายงานวิชาชีพด้านไอซีที จัดการประชุม-สัมมนารับฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ หวังสร้างกรอบมาตรฐานวิชาชีพ พร้อมเพิ่มศักยภาพบุคลากรไทย...นายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า กระทรวงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดอุตสาหกรรมไอซีทีในประเทศไทย จึงดำเนินการศึกษาและจัดกลุ่มอาชีพ/ตำแหน่งงานของบุคลากรด้านไอซีทีไว้ตั้งแต่ปี 2547 จำนวน 18 กลุ่มอาชีพ อาทิ นักวิเคราะห์ระบบ ผู้เชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์ประยุกต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์มัลติมีเดีย ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไอที วิศวกรซอฟต์แวร์ โปรแกรมเมอร์ เว็บมาสเตอร์ ช่างเทคนิคระบบคอมพิวเตอร์ เป็นต้นขณะที่ปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงส่งผลให้กลุ่มอาชีพ/ตำแหน่งงานของบุคลากรด้านไอซีที ที่ได้ดำเนินการไว้ อาจไม่ครอบคลุมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนั้น กระทรวงไอซีทีจึงได้ดำเนินกิจกรรมการศึกษาสายงานวิชาชีพด้านไอซีที เพื่อจัดทำกรอบมาตรฐานวิชาชีพผู้เชี่ยวชาญด้านไอซีทีไทย ภายใต้โครงการเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลและศึกษาสถานะของสายงานวิชาชีพด้านไอซีทีของประเทศไทย ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดอุตสาหกรรมไอซีทีไทย ทั้งในปัจจุบันและอนาคต อีกทั้งยังสอดรับกับกรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พ.ศ 2554-2563 ของประเทศไทย (ICT 2020) ในการพัฒนาบุคลากรไอซีที ให้มีความรู้ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญ ตามมาตรฐานในระดับสากลโดยการดำเนินกิจกรรมดังกล่าว กำหนดให้มีการจัดประชุมสัมมนา รับฟังความคิดเห็นจากบุคลากรที่เกี่ยวข้องด้านไอซีที เพื่อจัดทำสายงานวิชาชีพด้านไอซีทีขึ้นทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งแรกจัดที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2556 อีกสองครั้งจัดที่ จ.เชียงใหม่ และ จ.นครราชสีมา เพื่อนำความคิดเห็นและคำแนะนำจากวิทยากรและผู้ร่วมประชุมสัมมนาฯ ซึ่งเป็นผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับไอซีที และใช้ระบบไอซีทีเป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินธุรกิจ มาใช้เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งในการพัฒนาสายงานวิชาชีพ และมาตรฐานวิชาชีพบุคลากร โดยมุ่งให้เกิดการเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากร ไอซีทีไทย ให้สามารถแข่งขันและรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต“การรับฟังความคิดเห็นการจัดทำสายงานวิชาชีพด้านไอซีที จากกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพ หรือดำรงตำแหน่งงานด้านไอซีที ทั้ง 3 ครั้งนั้น ถือเป็นแนวทางหนึ่งที่สำคัญในการกำหนดทิศทางการพัฒนาสายงานวิชาชีพด้านไอซีทีไทยร่วมกัน ให้มีมาตรฐานการปฏิบัติงานเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกองค์กร และเป็นที่ยอมรับในแวดวงไอซีที ทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 ต่อไป” นายสมบูรณ์ กล่าว.   

ขู่ริบใบอนุญาตค่ายมือถือ หากพบเพิกเฉยกำหนดวันหมดอายุบัตรเติมเงิน

ขู่ริบใบอนุญาตค่ายมือถือ หากพบเพิกเฉยกำหนดวันหมดอายุบัตรเติมเงิน
“สุทธิพล ทวีชัยการ” กก. กสทช. เล็งออกโรงสุ่มตรวจการกำหนดวันหมดอายุบัตรเติมเงินร้านค้ารอบสอง หลังสุ่มตรวจ 18 ม.ค.ไร้ผล ขู่ค่ายมือถือฝ่าฝืน คาดโทษปรับ 1 แสน ถึงเพิกถอนใบอนุญาต...เมื่อวันที่ 20 ม.ค. นายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. และกรรมการกิจการโทรคมนาคม หรือ กทค. กล่าวว่า จากการที่ร่วมกับ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ไปสุ่มตรวจศูนย์บริการของผู้ประกอบการทั้ง 3 ราย ในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นวันดีเดย์ที่กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามข้อ 11 ของประกาศ  กทช.  เรื่องมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 ที่ห้ามกำหนดวันหมดอายุของบัตรโทรศัพท์มือถือแบบเติมเงินนั้น พบว่าผู้ประกอบการปรับตัวเพื่อรองรับกับเส้นตายที่ กสทช. กำหนด โดยถึงแม้จะมีการกำหนดวันหมดอายุ แต่ปรับปรุงเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคมากขึ้น เช่น กำหนดวันหมดอายุเป็น 30 วัน โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเติมจำนวนเงินตามที่กำหนด และเมื่อระยะเวลาใกล้ครบกำหนดก็จะมีการขยายวันให้ทั้งนี้ โดยภาพรวมถือว่าผู้ประกอบการให้ความร่วมมือกับ กสทช. ในระดับหนึ่งแล้ว แต่เนื่องจากอาจจะเป็นวันแรกที่นำระบบใหม่มาใช้ จึงพบว่าหลายค่ายยังขลุกขลักอยู่บ้าง และยังไม่พร้อม ซึ่งได้รับการชี้แจงจากพนักงานของผู้ประกอบการว่าเป็นปัญหาด้านเทคนิคและรับรองว่าจะเข้าที่เข้าทางโดยเร็วกรรมการ กสทช. กล่าวต่อว่า เพื่อให้การกำกับดูแลผู้ประกอบการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กสทช.จะติดตามการดำเนินการของผู้ประกอบการทั้ง 3 รายต่อ โดยจะลงพื้นที่ตรวจศูนย์บริการและระบบเติมเงินครั้งต่อไปในต้นสัปดาห์หน้า เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ประกอบการดำเนินการตามที่ให้สัญญาไว้กับ กสทช. จริงๆ ไม่ใช่ตรวจเพียงแค่วันดีเดย์เท่านั้นอย่างไรก็ตาม หากการดำเนินการดังกล่าวยังไม่เป็นที่น่าพอใจ จะส่งผลให้จำนวนค่าปรับที่กำหนดไว้วันละ 1 แสนบาท ยังคงเดินหน้าไปเรื่อยๆ และถ้าหากแนะนำแล้วยังไม่ปรับปรุงก็จะเพิ่มจำนวนค่าปรับต่อวันให้สูงขึ้นอีก ส่วนมาตรการที่จะนำมาใช้บังคับนั้นจะเริ่มจากเบาไปหาหนัก คือ เตือน ปรับ เพิ่มค่าปรับ พักใช้ใบอนุญาต ไปจนถึงการเพิกถอนใบอนุญาต“อย่าไปคิดว่าค่าปรับเพียงวันละ 1 แสน จะไม่กระทบต่อผู้ประกอบการที่ได้กำไรแต่ละปีเป็นจำนวนมหาศาล ผมเชื่อว่าตอนนี้สังคมกำลังจับตามองผู้ประกอบการอยู่อย่างไม่กะพริบตา เพื่อที่จะดูว่าผู้ประกอบการรายใดปฏิบัติตามกฎกติกา และรายใดบ้างที่ไม่ปฏิบัติตาม และยังคงเอาเปรียบผู้บริโภคอยู่ ซึ่งภาพลักษณ์ของผู้ประกอบการทั้ง 3 ราย เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ณ ขณะนี้หากผู้ประกอบการที่ตกลงในวันประชุมกับ กสทช. เมื่อวันที่ 14 มกราคม แล้วไม่ปฏิบัติตามที่สัญญาไว้ ก็จะกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาผู้บริโภคทันที ซึ่งย่อมจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในการดำเนินธุรกิจอย่างแน่นอน ตรงกันข้ามหากผู้ประกอบการปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ตกลงกันไว้และยึดตามกรอบกติกา ก็จะกลายเป็นพระเอกในดวงใจของผู้บริโภคอย่างแน่นอน จึงขอเตือนให้รีบทำตามสิ่งที่รับปากกับ กสทช.เอาไว้” นายสุทธิพล กล่าวอนึ่ง แม้ข้อ 11 ของประกาศ กทช. ข้างต้นจะห้ามผู้ประกอบการกำหนดวันหมดอายุ แต่ก็ยังเปิดช่องให้ผู้ประกอบการที่ต้องการกำหนดวันหมดอายุในบัตรเติมเงินทำเรื่องขอความเห็นชอบจาก กสทช.ได้โดยให้ กสทช. มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขการให้บริการประกอบตามที่เห็นสมควร เพื่อมิให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ แต่ก็มักเข้าใจผิดกันว่า เงื่อนไขที่ว่านี้เป็นเงื่อนไขที่ผู้ประกอบการเป็นผู้กำหนด อย่างไรก็ตามการที่ กสทช.ให้ผู้ประกอบการที่ต้องการจะกำหนดวันหมดอายุในบัตรเติมเงินเสนอเงื่อนไขเข้ามาก็เพื่อต้องการทราบข้อมูลจากผู้ประกอบการเพื่อใช้ประกอบดุลพินิจในการกำหนดเงื่อนไขที่เหมาะสมต่อไปกรรมการ กสทช. กล่าวอีกว่า ทราบว่าผู้ประกอบการได้ทยอยส่งข้อเสนอเกี่ยวกับเงื่อนไขเข้ามาแล้ว โดยเรื่องเข้ามาที่กลุ่มกฎหมายโทรคมนาคม และเมื่อทางสำนักงาน กสทช.ทำความเห็นประกอบการพิจารณาแล้ว บอร์ด กทค. จะรีบพิจารณาทันที โดยจะดูว่าอยู่ในกรอบมาตรฐานขั้นต่ำที่ทาง กสท ช.กำหนดไว้หรือไม่ โดยเงื่อนไขที่จะกำหนดจะต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งภายในสัปดาห์นี้น่าจะได้ข้อยุติในเรื่องนี้เสียที เพราะคาราคาซังมานานแล้ว หากปล่อยไว้เรื้อรังก็ไม่เกิดประโยชน์แก่ฝ่ายใด ทางบอร์ด กทค. ก็ประชุมร่วมกับผู้ประกอบการหลายครั้ง และมาตรฐานขั้นต่ำในเรื่องบัตรเติมเงิน (พรีเพด) ที่กำหนดล่าสุดก็ยืดหยุ่นพอสมควรแล้ว ผู้ประกอบการน่าจะรับได้ และขอให้ผู้บริโภครอฟังข่าวดี 

เอชพีคว้าใบประกาศหมึกพิมพ์มาตรฐานจากยูแอล ย้ำภาพเทคโนโลยีสีเขียว

เอชพีคว้าใบประกาศหมึกพิมพ์มาตรฐานจากยูแอล ย้ำภาพเทคโนโลยีสีเขียว
เอชพี ตอกย้ำเทคโนโลยีสีเขียว หลังคว้าประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์โดยยูแอล เป็นรายแรกจากหมึกพิมพ์อิงค์เจทชนิด water-based....บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด หรือเอชพี เปิดเผยว่าหมึกพิมพ์ HP Latex Inks และ HP A50 Inkjet Web Press Inks เป็นหมึกพิมพ์อิงค์เจทชนิด water-based 2 รุ่นแรกที่ได้รับประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ (Sustainable Product Certification) จากยูแอล เอ็นไวรอนเมนท์ (UL Environment) องค์กรธุรกิจในเครือของยูแอล (UL - UnderwritersLaboratories) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระระดับโลกด้านวิทยาศาตร์เชิงความปลอดภัย ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเพื่อยกระดับสุขอนามัยสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยในระดับสากล ผ่านการให้การสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การบริการและการบริหารองค์กรให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทั้งนี้ ประกาศนียบัตรภายใต้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของยูแอล ในหัวข้อผลิตภัณฑ์หมึกพิมพ์เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมจะแสดงผลทดสอบว่าหมึกพิมพ์ผ่านเกณฑ์การประเมินที่เข้มงวดเกี่ยวกับสุขภาพของมนุษย์และผ่านการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งแต่เดิมมาตรฐานนี้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อทดสอบหมึกพิมพ์ชนิดออฟเซต เลตเตอร์เพรส เฟลกโซกราฟิกและชนิดแม่พิมพ์ร่องลึก (กราเวียร์) ต่อมาจึงได้เพิ่มการทดสอบมาตรฐานของหมึกพิมพ์อิงค์เจทชนิด water-based หมึกพิมพ์ screen printing และหมึกพิมพ์ชนิด UV-curableซาร่า กรีนสไตน์ ประธานยูแอล เอ็นไวรอนเมนท์ กล่าวว่า เราชื่นชมเอชพีในความพยายามที่จะเป็นองค์กรแรกในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องพิมพ์ที่ได้รับประกาศนียบัตรการรับรองผลิตภัณฑ์ภายใต้มาตรฐาน UL 2801 เราเชื่อว่าทุกย่างก้าวที่เอชพีมีต่อสินค้าและกระบวนการผลิตเพื่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยให้ตลาดโดยรวมตระหนักถึงการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนต่อไปกีโด แวน ปราก รองประธานและผู้จัดการทั่วไปหน่วยธุรกิจกราฟิกโซลูชั่นเอชพี ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ในขณะที่ลูกค้าคอนซูเมอร์และกลุ่มองค์กรธุรกิจต่างมองหาตัวเลือกด้านการพิมพ์ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น ผู้ให้บริการด้านการพิมพ์จึงต้องนำเสนอทางเลือกใหม่เพื่อแสดงให้เห็นถึงพันธกิจขององค์กรต่อความยั่งยืน ทั้งนี้ หมึกพิมพ์เอชพีชนิด water-basedทั้ง 2 รุ่นที่ผ่านหลักเกณฑ์ตามมาตรฐานของยูแอลนั้น จะช่วยให้ลูกค้าของเราเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยประกาศนียบัตรที่เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือได้ในระดับสากล.

Thursday, January 17, 2013

ชาวเน็ตโวย!มั่วนิ่มจอดรถที่คนพิการ

ชาวเน็ตโวย!มั่วนิ่มจอดรถที่คนพิการ
                          ปัญหา "ที่จอดรถผู้พิการ" กำลังเป็นประเด็นที่สังคมไซเบอร์หยิบยกขึ้นมาไถ่ถามจิตสำนึกของคนปกติ ซึ่งมักนำรถยนต์ส่วนตัว เข้ามาจอดในเขตที่ตีเส้นว่าเป็นของผู้พิการอยู่เสมอ จึงมีการร่วมแชร์ความคิดเห็นและร่วมแลกเปลี่ยนสังคมโซเชียลมีเดีย อย่างกระทู้เว็บบอร์ดสุดฮิตในห้องรัชดา เว็บไซต์พันทิป ระบุว่า "เวลาเจอ   "ที่จอดรถผู้พิการ" มี "คนปกติดี" ขับเข้าไปจอด คุณทำอย่างไร" พร้อมให้ชาวเน็ตร่วมโหวตในหัวข้อ หากเจอสถานการณ์นี้ ซึ่งหน้าจะทำอย่างไร 1.แจ้งเจ้าหน้าที่ห้าง 2.เดินเข้าไปบอกผู้ที่ขับรถไปจอด ว่าเป็นที่จอดรถผู้พิการ 3.อยู่เฉยๆ อยากจอดก็จอดไป และ 4.อื่นๆ                           ปรากฏว่ามีชาวเน็ตมาร่วมแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก คุณ "RX-93" บอกว่า เฉยๆ เพราะทำอย่างนั้น ถ้ายังไม่พิการ ก็เท่ากับแช่งให้ตัวเองพิการ, คุณ "bake mania" บอกว่า เค้าพิการแล้วที่ "ใจ" และ "สามัญสำนึก",  และ คุณ "zenario" บอกว่า ถ้าโดนแซงคิวผมก็โวยครับ แต่ที่จอดรถคนพิการ ถ้าไม่เห็นเจ้าของตอนเดินลงจากรถก็บอกยากว่าพิการจริงไหมครับ แนะนำว่าทำใจดีกว่าครับ ส่วน คุณ "zezari" แสดงความคิดเห็นว่า ถ้าวนไปส่งคนพิการก่อน แล้ววนมาจอด แล้วพอจะออกค่อยไปรับคนพิการที่ทางออก เพราะคนพิการใส่รถเข็นมา จะให้จอดเข้าซองก่อนคงไม่สะดวกแบบนี้ผิดไหม                                      ขณะที่หลายคนเสนอว่า ควรให้มีบัตรคนพิการติดรถอย่างในต่างประเทศ อาทิ คุณ "ต้นลูกตาล" บอกว่า เมืองนอก เขาจะมีบัตรคนพิการติดรถเลย ถ้าไม่มีบัตรไม่มีสิทธิ์จอด, คุณ "สมาชิกหมายเลข 700053" บอก ที่ประเทศไทย ไม่มีระบุอะไรไว้ชัดเจน แต่ห้างสรรพสินค้าทำที่จอดรถคนพิการมา ก็ไม่ได้บังคับจริงจัง ถ้าเป็นที่อเมริกา คนปกติจอดรถในที่จอดรถคนพิการจะเสียค่าปรับราวๆ 10,000 บาท หรือมากกว่านั้น ถ้าไม่มีกฎบังคับ ก็คงคล้ายๆ เมืองไทย                           ด้านเฟซบุ๊ก "ข่าวสารคนพิการขอนแก่น" ก็มีการตั้งคำถามในทำนองเดียวกันว่า ที่จอดรถคนพิการ ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง ทำมาเพื่ออะไรกันแน่ หรือเพื่อให้ผ่านการตรวจสอบหรือเปล่า คนพิการไปไม่เคยได้จอด สาขาแรกมี 3 ที่ สาขา 2 มี 10 กว่าที่ แต่คนพิการไม่เคยได้จอด อยากบอกว่า ไม่ต้องทำมาให้ปวดใจก็ได้ ถ้าทำแล้วคนพิการไม่ได้ใช้ อารมณ์เสียเปล่าๆ จิตสำนึกของความเป็นคนมันไม่มีจริงๆ เหรอประเทศไทย                           "ผ่องศรี จันทร" แสดงความคิดเห็นว่า เคยเห็นที่จอดรถคนพิการที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้เหมือนกัน แต่ไม่เห็นมีรถสำหรับผู้พิการจะได้จอดซักคัน เห็นแต่รถพวกคนดีๆ จอดอยู่ สงสัยเหมือนกันว่าเขาแปลคำว่าคนพิการไม่ออก, คุณ "Joeaun Aphichet BoonJaung" เสริมว่า ผมไม่ได้พิการครับ แต่ผมมีลูกน้อยไม่กี่เดือน ผมเข้าใจถึงความจำเป็นมาก ส่วนตัวต้องการใช้งานช่องจอดพ่อแม่ลูก (สีน้ำเงินเต็ม) แต่ที่จอดๆ กันมีแต่คนธรรมดามาจอดแทน ผมทุกข์ใจมากที่เห็นสังคมเป็นแบบนี้                           ไม่ต่างจากบล็อก "CookieCoffee" สะท้อนปัญหาไว้เมื่อหลายปีก่อน พร้อมยืนยันด้วยภาพว่า ที่จอดรถคนชราและคนพิการในไทย ส่วนใหญ่เอาไว้จอดรถสปอร์ต ผมว่าไม่เท่หรอกครับ แย่ยิ่งกว่า “ให้เหล้า = แช่ง” อีก ดูเหมือนจะแช่งให้ตัวเองพิการ แม้มันจะเป็นที่จอดที่ง่ายสุดๆ เพราะอยู่หน้าประตูห้างก็ตาม แต่ถ้าแขนขาเรายังดี, ผมว่าให้สิทธิคนพิการจะเท่กว่าอีก                           จริงๆ ที่จอดรถคนพิการของเมืองนอกนั้น ไม่ได้ให้จอดถาวร แต่เป็นแค่การจอดเพื่อส่งคนพิการหรือคนชราลงแล้วคนขับต้องไปวนหาที่จอดอื่นต่อ เพื่อให้ที่จอดจุดนี้ว่างเสมอ สำหรับคนพิการท่านอื่น แต่สำหรับเมืองไทยอาจไม่สะดวกหลายอย่าง ผมว่าขอแค่มันได้เป็นที่สำหรับคนพิการและคนชราจริงๆ ก็ดีใจแล้ว                           บล็อก "CookieCoffee" ยังเขียนเล่าเรื่องตลกร้ายอีกว่า รถสปอร์ตคันละสิบล้านมา เบรกเอี๊ยดดด !!! แล้วก็สั่งสาวคนข้างๆ ว่า “ลงไปเข็นป้ายที่จอดคนพิการออกหน่อยจะจอด !!!” เมื่อสาวเจ้าเข็นป้ายออก, ก็ขับเข้าซองไป ท่ามกลางเสียงปรบมือ กรณีนี้มันไม่ได้เกิดจากเจ้าของรถสปอร์ต แต่มันน่าจะเกิดจากมีบุคคลที่สาม เข็นป้ายที่จอดคนพิการให้ ในความเป็นจริง ที่จอดคนพิการเดิมทีออกแบบมาเพื่อ “ส่งคนพิการ” เท่านั้น จากนั้นผู้ที่ขับรถให้คนพิการต้องไปหาที่จอดอื่นเพื่อให้ที่จอดคนพิการ “ว่างเสมอ” สำหรับผู้พิการคนถัดไป                           "รถสปอร์ตนี่เท่นะครับ แต่การจอดในที่คนพิการเนี่ยไม่เท่เลย ดังนั้น ถ้าใครเจอคุณยามเลื่อนที่กั้นที่จอดคนพิการให้จอด แล้วเราเปิดกระจกบอกเค้าว่า “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมวนหาที่จอดเอง ตรงนี้ขอให้คนพิการดีกว่าครับ” ผมจะอิจฉาคุณมาก เพราะนอกจากคุณรวยแล้ว คุณยังมีโอกาสได้ทำสิ่งดีๆ แก่สังคม" บล็อก "CookieCoffee" ระบุทิ้งท้าย     ------------------- (HOT ติด WEB : ชาวเน็ตทวงถามจิตสำนึก "ที่จอดรถคนพิการ" หลังพบคนปกติ มั่วนิ่มจอดเพียบ : โดย...ทีมข่าวรายงานพิเศษ)      

ชีววิธีจัดการศัตรูพืช

ชีววิธีจัดการศัตรูพืช
                          การใช้สารเคมีในการเกษตรถือเป็นที่นิยมมาในกลุ่มเกษตรกรมากในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถกำจัดศัตรูพืชอย่างได้ผล และรวดเร็ว นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายที่นำมาจัดหาสารเคมีก็สูงด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เองศูนย์วิจัยเกษตรพื้นที่สูงเชียงราย อ.แม่สรวย จ.เชียงราย จึงได้ร่วมกับศูนย์วิจัยควบคุมศัตรูพืชโดยชีวินทรีย์แห่งชาติ ภารกิจบริหารจัดการผลงานวิจัย สำนักคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในการส่งเสริมเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการควบคุมศัตรูพืชโดยใช้ชีววิธีในการจัดการทำให้เป็นการลดการใช้สารเคมีและทำให้ผลผลิตที่ได้ปลอดภัยการจัดการศัตรูพืช                           รศ.ดร.วิวัฒน์ เสือสะอาด ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยควบคุมศัตรูพืชโดยชีวินทรีย์แห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การนำแมลงและเชื้อรามากำจัดแมลงศัตรูพืช ได้มีการวิจัยในประเทศไทยมากว่า 40 ปีแล้ว แต่ยังไม่มีผู้ที่นำมาใช้อย่างจริงจัง สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ จึงได้เห็นถึงความสำคัญ โดยที่ผ่านมา วช.ได้เข้ามาแนะนำในการใช้ชีววิธีในการกำจัดแมลงศัตรูพืชให้กับเกษตรกร และผู้นำทางเกษตรกร ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพื้นที่สูงเชียงราย อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก                           "ในช่วงแรกๆ ที่ได้เสนอชีววิธีให้เกษตรกรไม่ได้รับการยอมรับ เนื่องจากเห็นผลช้า ต่อมากลุ่มผู้ผลิตกาเแฟในพื้นที่ดอยช้าง อ.แม่สรวย จ.เชียงราย เห็นความสำคัญการใช้ชีววิธีจนไม่ต้องพิ่งสารเคมีอีกต่อไป ทำให้กาแฟดอยช้างมีราคาที่สูงขึ้น เนื่องจากเป็นผลิตพืชปลอดภัย"                           ผู้อำนวยการศูนย์เผยอีกว่า สำหรับแมลงที่ใช้ในการจัดการกับศัตรูพืชนั้นมีหลากหลายชนิดขึ้นอยู่กับว่าเกษตรกรได้ปลูกพืชชนิดใดและศัตรูของพืชชนิดนั้นคืออะไร เช่น แมลงเบียนหนอนกระทู้ผัก แมลงหางหนีบสีดำ แมลงหางหนีบสีน้ำตาล มวนตัวห้ำอีแคนโคน่า ด้วงเต่าลาย (เต่าทอง) และการใช้เชื้อรา ซึ่งมีทั้งเชื้อราขาว และเชื้อราเขียว สามารถกำจัดแมลงศัตรูพืชได้โดยไม่ทำให้เกิดผลเสียกับผลผลิตและยังป้องกันไม่ให้แมลงศัตรูพืชกลับมาได้อีก อีกทั้งยังสามารถเพาะพันธุ์แมลงสำหรับกำจัดศัตรูพืชและเชื้อราไว้จำหน่ายเพื่อเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง                           ขณะที่ สมเดช วงศ์ชัยพานิชย์ หัวหน้าศูนย์การเรียนรู้บ้านนาโต่ วิทยาลัยเกษตรและการเรียนรู้จังหวัดเชียงรายยอมรับว่าการให้ความรู้กับผู้ที่สนใจในการใช้ชีววิธีในการจัดการกับศัตรูพืชเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ให้ให้ได้ผลผลิตที่ดีโดยไม่ต้องพึ่งพาสารเคมี ซึ่งที่ผ่านมาศูนย์วิจัยควมคุมศัตรูพืชโดยชีวินทรีย์แห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้เข้ามาให้ความรู้กับผู้ที่สนใจอย่างต่อเนื่อง                            "สำหรับที่ศูนย์การเรียนรู้บ้านนาโต่ ได้นำความรู้ที่ได้จากการอบรมจากศูนย์วิจัยควมคุมศัตรูพืชโดยชีวินทรีย์แห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) มาสอนให้นักศึกษาเพื่อจะได้สามารถถ่ายทอดความรู้ให้ท้องถิ่นได้ ซึ่งในอนาคตคาดว่าการใช้ชีววิธีจะต้องแพร่หลายอย่างแน่นอน"                           ด้าน สุกัญญา ธีระกูรณ์เลิศ ผู้อำนวยการภารกิจบริหารจัดการผลงานวิจัย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดการสัมมนา "การสร้างเครือข่ายใช้ศัตรูธรรมชาติเพื่อการผลิตพืชปลอดภัย" ว่าการนำความรู้เกี่ยวกับชีววิธีเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรและเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้บริโภคเป็นนโยบายที่ วช.ให้ความสำคัญมาโดยตลอด ที่ผ่านมามีการดำเนินการมาแล้วหลายพื้นที่ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากเกษตรกรเป็นอย่างดี                           "อย่างที่ จ.กาญจนบุรี เราก็ไปส่งเสริมชีวิวิธีให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยอินทรีย์และมันสำปะหลัง ส่วนที่ จ.นครราชสีมา ก็มีหลายอำเภอ ซึ่งก็ประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่ง อย่างวันนี้เราก็มาส่งเสริมให้กับกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟดอยช้าง ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากเกษตรกรเป็นอย่างดีเช่นกัน" สุกัญญา กล่าวทิ้งท้าย                           การจัดการกับศัตรูพืชการโดยใช้ชีววิธี นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกรในการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคที่ต้องการบริโภคอาหารปลอดภัย ปราศจากสารเคมีตกค้าง ที่สำคัญยังสามารถเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรอีกด้วย     -------------------- (สภาวิจัยใช้ 'ชีววิธี' จัดการศัตรูพืช ลดต้นทุน-เพิ่มผลผลิตการเกษตร : โดย...ณัฐวัตร ลาพิงค์)      

มช.เจ๋ง!ผลิตเจลยาชาจากข้าว

มช.เจ๋ง!ผลิตเจลยาชาจากข้าว
                          จากเหตุผลที่ประเทศไทยต้องนำเข้าเจลยาชาที่ใช้สำหรับด้านทันตกรรมในแต่ละปีจำนวนมหาศาล ทำให้ รศ.เภสัชกรหญิง ดร.ศิริพร โอโกโนกิ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมคณะทำการวิจัยข้าวไทยเพื่อผลิตเจลผสมยาชาในช่องปาก ปรากฏว่าประสบสำเร็จเป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพเทียบเท่าที่นำเข้าต่างประเทศ แต่ราคาถูกกว่าถึง 10 เท่า ล่าสุดกำลังทดลองว่าอาจจะมีผลข้างเคียงหรือไม่                            รศ.เภสัชกรหญิง ดร.ศิริพร บอกว่า ที่ผ่านมาการใช้เจลยาชาของทันตแพทย์ส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาสูง จึงมองว่าประเทศไทยมีการทำนาปลูกข้าวมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ภายในเมล็ดข้าวมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นสารประกอบโพลิเมอร์ตามธรรมชาติที่ดี ไม่มีพิษและสลายตัวได้ในร่างกาย น่าจะสามารถนำมาดัดแปลงเพื่อให้ได้สารก่อเจลที่เหมาะสม เพื่อใช้ประโยชน์ทางทันตกรรมได้                           จากนั้นจึงวิจัยข้าวไทย 4 สายพันธุ์ คือ เป็นพันธุ์ข้าวหอมมะลิ กับพันธุ์เสาไห้ นอกจากนี้มีข้าวเหนียวพันธุ์สันป่าตองกับข้าวเหนียวพันธุ์ กข.6 โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก.ใช้เวลาวิจัยราว 1 ปี พบว่าข้าวไทยมีคุณสมบัติที่จะทำเจลผสมยาชาที่ใช้ในช่องปากได้เป็นอย่างดี เบื้องต้นไม่ก่อให้เกิดการอักเสบต่อเซลล์บุช่องปากแต่อย่างใด                           "ผลการวิจัยพบว่าเมล็ดข้าวเหนียว 1 กก. สามารถดัดแปลงผลิตเป็นสารเพิ่มความหนืดหรือสารก่อเจลได้ 10 เท่า ทำให้ต้นทุนการผลิตเจลผสมยาชาถูกมาก สมมุติว่าข้าวราคา กก.ละ 50 บาท สามารถผลิตเจลได้ 20 กระปุกขนาดเล็ก 5 กรัม เฉลี่ยต้นทุนไม่ถึงกระปุกละ 20 บาท เมื่อร่วมค่าเทคโนโลยี ค่าแรงต้นทุนราว 40 บาทขณะที่นำเข้าจากต่างประเทศตกกระปุกละ 400 บาท ถูกกว่า 10 เท่า หากต่อยอดจะเกิดประโยชน์ต่อวงการทันตแพทย์อย่างมหาศาล เพราะสามารถลดการนำเข้าจากต่างประเทศไทย และอีกส่วนหนึ่งถือเป็นการต่อยอดให้ข้าวไทยเพิ่มมูลค่าอีกด้วย" รศ.เภสัชกรหญิง ดร.ศิริพร กล่าว                            นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บอกด้วยว่า งานวิจัยชิ้นนี้หากนำไปต่อยอดจะก่อให้เกิดประโยชน์หลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นวงการเภสัชกรรม ทันตกรรม ภาคเอกชนผู้ผลิตแป้งข้าว ผู้ป่วยที่ต้องการรักษาด้านทันตกรรม และกลุ่มผู้ปลูกข้าว เพราะงานวิจัยชิ้นนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่วัตถุดิบทางการเกษตร รวมถึงจะลดการสูยเสียเงินที่ต้องนำเข้าเจลชนิดนี้มาจากต่างประเทศได้อีกทางหนึ่ง                           ด้าน ชยารพ สุพรรณชาติ อาจารย์ประจำภาควิชาศัลยศาสตร์และแม็กซิลโลเฟเชียล คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บอกว่า เจลยาชาจากข้าวไทยนั้นได้ทดลองกับอาสาสมัครจำนวน 40 คน เมื่อใช้ทาในช่องปากแล้วจะออกฤทธิ์ภายใน 1 นาที และอยู่ได้ถึง 15 นาที เหมาะที่จะทาในช่องปากกรณีที่คนป่วยจะฉีดยาชาเข้าเหงือกเพื่อทอนฟัน จะช่วยให้ลดความปวดได้ และทากรณีที่จะขูดหินปูน ซึ่งเบื้องต้นยังไม่พบว่าจะเกิดอันตรายหรือผลข้างเคียง แต่เนื่องจากข้าวมีคาร์โบไฮเดรต ที่อาจจะก่อน้ำตาลได้ จึงทดลองต่อไปว่าหากใช้แล้วจะทำให้ฝันผุหรือไม่                              ขณะที่ รศ.ดร.พีรเดช ทองอำไพ ผู้อำนวยการ สวก.บอกว่า ในช่วงที่ผ่านมาได้สนับสนุนงบประมาณด้านการวิจัยให้แก่นักวิจัย ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่หลายโครงการ รวมถึงการวิจัยข้าวไทยเพื่อผลิตเจลยาชาใช้สำหรับในช่องปากอีกอีกด้วย ซึ่งโครงการนี้ประสบผลสำเร็จไปด้วยดี คาดว่าในอนาคตจะสามารถต่อยอดเพื่อผลิตในเชิงพาณิชย์ และจะก่อให้เกิดประโยชย์ในวงการทันตแพทย์อีกด้วย                           ก็นับเป็นผลงานวิจัยที่น่าสนใจอีกชิ้นหนึ่ง หากต่อยอดได้ไม่เพียงแต่จะเกิดประโยชน์ต่อวงการทันตแพทย์เพียงอย่างเดียว หากแต่สามารถลดการนำเข้าจากต่างประเทศ และมีประโยชน์ต่อชาวนาที่จะทำให้ข้าวไทยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกด้วย     -------------------- (ใช้ข้าวผลิตเจลยาชาในช่องปาก นวัตกรรมใหม่ฝีมือนักวิจัย มช. : โดย...ดลมนัส  กาเจ)      

Monday, January 14, 2013

แตงหนูเป็นยาอาหาร

แตงหนูเป็นยาอาหาร
                          “แตงหนู” หรือชื่ออื่น แตงนก แตงมีปลูก แตงหนูขน ขึ้นได้ทั่วทุกภาคของไทย ตามป่าผลัดใบ ป่าดิบชื้น ชาวบ้านนิยมนำยอดอ่อนและต้น กินเป็นผักสด แถมมีคุณค่าทางสมุนไพร ใช้รากตำพอกเหงือกแก้ปวด หรือต้มน้ำดื่มแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ                              เป็นไม้เลื้อย ในวงศ์ CUCURBITACEAE ไม้เนื้ออ่อน มีขน ลำต้นสี่เหลี่ยม มีมือเกาะ อาศัยต้น่ไม้อื่น สีเขียว ยาว 3-24 เซนติเมตร                              ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเวียนเรียงสลับตรงกันข้าม คล้ายรูปไข่แกมหัวใจ ผิวสากระคายมือ มีขนหยาบ ขอบหยักแยกเป็น 3-5 แฉก ปลายเรียวแหลมคล้ายหาง สีเขียว                              ดอก เป็นช่อกระจุก ออกตามซอกใบที่ปลายยอด กลีบดอกแยกเป็น 3-5 แฉก โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดคล้ายรูประฆัง                             ผล กลม ผลอ่อน สีเขียว ภายในมีเมล็ดเล็กๆ มาก เมื่อแก่สุก สีแดง ยาว 1 เซนติเมตร                             ขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด ความชื้อพอเหมาะ แดดเต็มวัน     -------------------- (ไม้ดีมีประโยชน์ : 'แตงหนู' เป็นยา-อาหาร : โดย...นายสวีสอง)      

Blog Archive