Sunday, February 10, 2013

แอพฯญี่ปุ่นเจ๋ง!เปลี่ยนข่าวเด็กอ่านง่ายๆ

แอพฯญี่ปุ่นเจ๋ง!เปลี่ยนข่าวเด็กอ่านง่ายๆ
              10ก.พ.2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ tcijthai.com ได้รายงานบทความจากเว็บไซต์ creativemove.com ความว่า ทำไมคนไทยจึงอ่านหนังสือน้อยกว่าคนญี่ปุ่น? มีผลวิจัยบอกว่า คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยแค่ปีละ 2 เล่ม ขณะเดียวกันคนญี่ปุ่นมีอัตราการอ่านหนังสือมากกว่าคนไทยถึง 40 เล่มต่อปี หรือประมาณ แล้วมากกว่า 20 เท่าเท่ากับว่า ถ้าสมมติว่าการศึกษาเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศแล้ว คนญี่ปุ่น 1 คน มีความสามารถเทียบเท่ากับเอาคนไทยมารวมกับ 20 คนเลยทีเดียว พูดอย่างนี้อาจจะแรงไป แต่เราทุกคนก็รู้ดีกันอยู่แล้วว่าว่าการศึกษาคือปัจจัยพื้นฐานในการพัฒนาประเทศ               นิสัยรักการอ่านน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คนอ่านหนังสือ ที่ประเทศญี่ปุ่น The Tokyo Newspaper หรือ Tokyo Shinbun คือหนังสือพิมพ์รายวันที่อยู่คู่คนญี่ปุ่นมานานถึง 128 ปี The Tokyo Newspaper ได้มีความคิดที่ว่า หนังสือพิมพ์นั้นเป็นสื่อเฉพาะสำหรับให้ผู้ใหญ่อ่าน ไม่ใช่ของเด็ก แต่จะดีกว่าไหมถ้าเด็กๆ สามารถอ่านได้ด้วย เพราะจะช่วยส่งเสริมการอ่านของเด็ก และเด็กก็สามารถติดตามข่าวสารบ้านเมืองได้ แทนที่จะได้ความรู้จากการ์ตูนแทน นอกจากนั้น หากทั้งผู้ใหญ่และเด็กสามารถอ่านด้วยกันได้ ก็จะช่วยส่งเสริมความรักความเข้าใจของครอบครัว               แต่ที่เรารู้หนังสือพิมพ์นั้นไม่ได้เหมาะให้เด็กอ่านมากนัก เพราะเนื้อหาส่วนมากเป็นเรื่องยากๆ เช่น การเมือง เศรษฐกิจ ฯ ยิ่งที่ญี่ปุ่นมีกาารใช้ภาษาคันจิค่อนข้างมาก (คันจิ คือภาษาญี่ปุ่นรูปแบบหนึ่งนอกเหนือจาก ฮิรางานะ และคาตาคะนะ โดยคันจินั้นเป็นรูปแบบภาษาที่ยืมตัวอักษรจีนมาใช้ เนื่องจากอักษรจีนนั้น มีจำนวนนับไม่ถ้วนทำให้ยากต่อการเรียนรู้และจดจำ) ทำให้เป็นอุปสรรคต่อเด็กในการอ่านหนังสือพิมพ์               ด้วยเทคโนโลยี AR ในสมัยนี้ (Augmented Reality คือเทคโนโลยีที่ผสานเอาโลกแห่งความเป็นจริงและโลกเสมือนมาเจอกัน ทำให้สามารถสร้าง interactive ระหว่างคนกับอุปกรณ์ได้) ทำให้ทางหนังสือพิมพ์ The Tokyo Newspaper ได้ออกแอพฯ บนสมาร์ทโฟน ให้เด็กๆ ได้นำมือถือไปลากอ่านบนบนหนังสือพิมพ์และสามารถอ่านข่าวต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น มีสีสันน่าดึงดูด มีตัวการ์ตูนน่ารักๆ ปรากฏออกมาให้รู้สึกว่าการอ่านสนุกขึ้น นอกจากนั้นยังแปลงภาษาคันจิที่ค่อนข้างยากให้กลายเป็นภาษาญี่ปุ่นรูปแบบอื่นให้เด็กอ่านเข้าใจได้ง่ายอีกด้วย เด็กจึงได้อยู่กับผู้ใหญ่ อ่านหนังสือพิมพ์ด้วยกัน หากมีเรื่องสงสัยก็ถามพ่อแม่ได้ว่าข่าวที่ว่านั้นหมายถึงอะไร ผู้ใหญ่ก็สามารถที่จะพูดคุยกับเด็กได้มากขึ้น การที่เด็กสนใจเรื่องต่างๆทำให้เด็กได้พัฒนาและเข้าใจโลกของผู้ใหญ่ได้เร็วขึ้น ซึ่งก็จะสามารถเป็นพื้นฐานของเด็กในการเลือกเติบโตไปในทางที่ต้องการได้ นอกจากนั้นยังทำให้เด็กได้เข้าใจถึงคำว่าการเรียนรู้ตลอดชีวิต ถือเป็นผลพลอยได้นอกเหนือจากที่เด็กได้อ่านหนังสือมากขึ้นด้วย               สำหรับเมืองไทย การที่จะทำให้คนอ่านหนังสือมากขึ้นอาจจะต้องย้อนกลับมาดูว่าเป็นเพราะสาเหตุใด ปมหนึ่งอาจเกี่ยวเนื่องกับมุมมองที่เกี่ยวกับการอ่านหนังสือ เราอาจมองว่าการอ่านหนังสือคือเครื่องมือที่แค่ทำให้เราเรียนจบหรือเป็นใบเบิกทางให้เรามีงานทำ หรือทำให้พ่อแม่พอใจเท่านั้นหรือเปล่า ดังนั้นการแก้ไขที่เรามองนั้นควรมีมุมมองทั้งด้าน supply และ ด้าน demand ตามหลักเศรษฐศาสตร์ด้วย การที่เราแก้ไขโดยเน้นไปที่ supply เช่น การกระจายหนังสือให้คนเข้าถึงหนังสือได้ง่ายขึ้น มีทางเลือกในการอ่านหนังสือให้มากขึ้น หรือมีหนังสือดีๆให้อ่าน นั้นอาจจะง่ายกว่า แต่ก็คงยังไม่พอ ในด้าน demand หากพวกเรายังมองว่าการอ่านหนังสือนั้นไม่จำเป็นสำหรับชีวิต ไม่ปลูกฝังความอยากรู้อยากเห็น ก็ยากที่จะยกระดับการอ่านหนังสือของคนไทยหรือเด็กได้ .......... (หมายเหตุ : ที่มา http://www.tcijthai.com/TCIJ/view.php?ids=2027.php#!prettyPhoto  www.creativemove.com)  

No comments:

Post a Comment

Blog Archive